วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
‘โค้ก’ จับมือ ‘แมคโดนัลด์’ แจก “แก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010”
วันนี้ ‘โค้ก’ เครื่องดื่มยอดนิยมของคนไทยและทั่วโลก โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ร่วมกับ ‘แมคโดนัลด์’ ในฐานะผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลโลกฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ& 8482;
2010 จัดโปรโมชั่นพิเศษต้อนรับมหกรรมฟุตบอลโลก แจก “แก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010” ให้แฟนบอลชาวไทยได้สะสม เพียงอิ่มอร่อยที่แมคโดนัลด์ทุกสาขากับชุดอร่อยสุดคุ้มขนาดใหญ่พิเศษ (ชุดใดก็ได้) รับแก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010 ฟรี! ทันทีหนึ่งแก้ว! มีให้เลือกสะสมถึง 6 ลาย 6 สี ใน 6 สัปดาห์ (สัปดาห์ละ 1 แบบ) เริ่มตั้งแต่ 28 พฤษภาคม ถึง 8 กรกฎาคม 2553 นี้เท่านั้น
ประเทศไทยเป็นหนึ่ง ใน 19 ประเทศทั่วโลกที่ได้จัดทำโปรโมชั่นสุดพิเศษนี้พร้อมๆ กับ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ฯลฯ หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงในการออกโปรโมชั่นร่วมกัน เมื่อครั้งเฉลิมฉลองมหกรรมกีฬาโอลิมปิคปี 2008 ที่ผ่านมา
มร. ฆอเฮ การ์ดูโน ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “โค้ก ร่วมกับ แมคโดนัลด์ จัดทำโปรโมชั่นสุดพิเศษแจก ‘แก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010’ เอาใจแฟนๆ นักสะสมของโค้ก แฟนแมคโดนัลด์และแฟนบอลทั่วไป โดยแก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010 นี้ ได้รับการออกแบบและจัดทำขึ้นเป็นพิเศษเป็นลักษณะแก้วคอนทัวร์ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการแข่งขันฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ& 8482; 2010 โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในทวีปแอฟริกา ณ ประเทศแอฟริกาใต้ ระหว่าง 11 มิถุนายน ถึง 11 กรกฎาคมนี้ ซึ่งทั้งโค้กและแมคโดนัลด์นั้นต่างก็เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการด้วยกันทั้งคู่”
แก้วโค้กคอนทัวร์ได้รับการพัฒนามาจากขวดคอนทัวร์ของโค้ก ซึ่งมีประวัติอันยาวนานมาตั้งแต่ปี 1929 (พ.ศ. 2472) และเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของบรรจุภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักกันของผู้คนทั่วโลก สำหรับแก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010 มีด้วยกันทั้งสิ้น 6 สี 6 ลาย แต่ละแบบสลักลายนูนรูปท่วงท่าการเตะฟุตบอลในลักษณะที่ต่างกัน คือ กระโดดเตะ โหม่ง เตะ รักษาประตู วอลเล่ย์ และยิงประตู
มร. เฮสเตอร์ ชิว ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด กล่าวว่า “ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีอีกครั้งที่แมคโดนัลด์กับโค้กได้ร่วมมือกันจัดโปรโมชั่นต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งคนทั่วทั้งโลกต่างตั้งตารอคอยการมาถึงของมหกรรมกีฬาอันยิ่งใหญ่นี้ แมคโดนัลด์และโค้กจึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบันทึกความทรงจำของคอบอลทั้งหลายด้วยการมอบแก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010 เป็นที่ระลึก เมื่อทุกท่านอิ่มอร่อยกับชุดสุดคุ้ม ขนาดใหญ่พิเศษที่แมคโดนัลด์ทุกสาขา เราเชื่อว่าแก้วคอนทัวร์ ลิมิเต็ด เอดิชั่นชุดนี้ จะเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลนักสะสมทุกคน”
“กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย มุ่งมั่นในการสนับสนุนกีฬาฟุตบอลในทุกระดับอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศอย่าง ไทย พรีเมียร์ ลีก ระดับท้องถิ่นอย่างการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนโค้กคัพ จนถึงระดับโลกอย่าง ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ& 8482; โดยเครื่องดื่มโค้กได้จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้อนรับมหกรรมฟุตบอลโลกที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น โปรโมชั่นสุดพิเศษร่วมกับแมคโดนัลด์ในครั้งนี้ เป็นโอกาสพิเศษที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบ 4 ปี เราจึงอยากให้ผู้บริโภคร่วมเก็บความทรงจำแสนพิเศษนี้ ผ่านแก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010 ไว้เป็นที่ระลึก” มร. ฆอเฮกล่าวสรุป
โคคา-โคลา คือ แบรนด์ที่โด่งดัง มีมูลค่าสูงสุด และเป็นที่รู้จักมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “ขวดคอนทัวร์” มามากกว่า 90 ปี ซึ่งได้สิทธิบัตรจากสำนักงานจดทะเบียนสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐอเมริกา (U.S. Patent and Trademark Office) และภายหลัง แก้วโค้กคอนทัวร์ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นจากรูปทรงของขวดคอนทัวร์
สำหรับแฟนบอลนักสะสม สามารถรับแก้วโค้ก รุ่น FIFA ฟุตบอลโลก 2010 ได้ฟรี เพียงเลือกอิ่มอร่อยกับชุดอร่อยสุดคุ้ม ขนาดใหญ่พิเศษ ชุดใดก็ได้ ที่แมคโดนัลด์ทุกสาขา มีให้สะสม 6 สี 6 ลาย รวม 6 สัปดาห์ (สัปดาห์ละ 1 แบบ) ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม – 8 กรกฎาคมศกนี้เท่านั้น “คอบอล คอโค้ก คอเดียวกัน”
ที่มา : http://www.stockwave.in.th/irpr/11299-pr-260510.html
เหตุผลการเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของโค้ก
จุดที่น่าสังเกต ก็คือ 5 อันดับแรกแม้ลำดับไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีแค่แบรนด์อันดับ 1 และ 2 เท่านั้นที่มูลค่าแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น อันดับ 1 คือโค้ก มีมูลค่าแบรนด์ 68,734 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ และอันดับ 2 ไอบีเอ็ม มีมูลค่าแบรนด์ 60,211 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งสาเหตุที่ทั้งสองแบรนด์นี้มีมูลค่าแบรนด์สูงขึ้นน่าจะเกิดจากการเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ใครๆ ก็รู้จัก โดยเฉพาะโค้ก ไม่ว่าผ่านมากี่ปีๆ ก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้แบรนด์ดูทันสมัยตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนโลโก้ในแต่ละช่วงอายุให้ดูอินเทรนด์ ปรับเปลี่ยนวิธีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ ตลอดจนเสริมกิจกรรมการตลาดที่สามารถเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
จะเห็นว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ดื่มโค้กยังไง เด็กสมัยนี้ก็ยังดื่มโค้กอย่างนั้นโดยไม่มีอาการเคอะเขิน ดังนั้นการที่โค้กยืนหยัดอยู่ที่อันดับ 1 ไม่เปลี่ยนแปลงและมีมูลค่าแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น แสดงว่าเขาสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ได้และหาลูกค้าใหม่มาเติมได้อย่างไม่หยุดหย่อน
Campaign of others countries
In Great Britain
Every pack gets 50p mobile credit!
Grab 50p free mobile credit for your PAYG or contract phone, whenever you buy a promotional pack of Fanta, Sprite or Dr Pepper
> Visit Gimme Credit*
Free rewards at Coke Zone!
Get great rewards and prizes, from gig tickets to fashion vouchers, by collecting points on Coke Zone
> Find out more*
Every pack gets 50p mobile credit!
Grab 50p free mobile credit for your PAYG or contract phone, whenever you buy a promotional pack of Fanta, Sprite or Dr Pepper
> Visit Gimme Credit*
Free rewards at Coke Zone!
Get great rewards and prizes, from gig tickets to fashion vouchers, by collecting points on Coke Zone
> Find out more*
โค้ก กับ สิ่งที่ได้จากการลองผิดลองถูกกว่า 100 ปี
What they had learned after 100 years
จากทุกหัวข้อ Entry ที่กล่าวมาน่าจะสามารถสร้างภาพองค์ประกอบต่างๆกว่าจะมาเป็นโค้กที่รู้จักกันได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมว่าการเป็นก้าวขึ้นมาเป็น Brand อันดับต้นๆที่อยู่ในใจของผู้บริโภคได้มายาวนานกว่า 100 ปีนั้นไม่ได้เกิดจากการถือตนว่าดังแล้วค่อยๆขายๆไปเรื่อย แต่ โค้กต้องฝ่าฟันวิกฤตต่างๆนาๆ มาอย่างยากลำบาก CocaCola มีการเปลี่ยนรูปแบบตัวเองต่างๆนานาๆ แต่ก็พยายามรักษาภาพลักษณ์ของ Brand ตัวเองไว้เป็นสำคัญ ซึ่งมีทั้งการลองผิดลองถูกต่างๆไม่ว่าจะเป็นการออกรสชาติใหม่ๆอยู่ตลอด แต่ก็พยายามรักษาความใกล้เคียงรสชาติดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด หรือไม่ว่าเศรษฐกิจจะทรุดโทรมแค่ไหน CocaCola ก็ยังคงทุ่มงบกับการโฆษณาโดยไม่ทิ้งภาพลักษณ์ของตนเอง ซึ่งการรักษา Brand ของตนไม่ให้เสียมาตรฐานหรือไขว้เขว สามารถตั้งมั่นเป็นที่พึ่งพาที่แข็งแกร่งให้กับคนทั่วไปที่พบเห็นไม่เกิดความคิงกังวลหรือไม่มั่นใจกับตนเองได้นั้นเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ CocaCola ใช้เวลากว่า 100 ปีเรียนรู้มา
Term of Advertising
Coca-Cola รักษา Concept Idea ที่ว่าโค้กจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเป็นหลักในการทำการสื่อสารกับผู้บริโภคมาโดยตลอด ถึงแม้ว่า Campaign Coke side of Life จะเป็น Campaign ที่เริ่มวิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแต่ Coke พยายามทำให้ตัวเองดูเป็นสินค้าที่มีรสนิยม หรูหรา แต่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมาโดยตลอดตั้งแต่ต้น การสร้างสารที่มีเนื้อหาในเหตุการณ์ต่างๆแต่ทุกที่ก็มีโค้กนั้นถูกซึมทราบเข้าไปยังความคิดของผู้บริโภค "ยามกระหายนึกถึงโค้ก", "ยามทานอาหารให้นึกถึงโค้ก" และเมื่อโลกมีการพัฒนาขึ้นช่องทางและแนวคิดอื่นๆที่นำมาสร้างเป็นสารของโค้กก็เพิ่มมากขึ้น แม้จะเกิดการเรียนรู้และสร้างสารที่แตกต่างออกไปตาม Local เพื่อประโยชน์สูงสุดของการสื่อสารขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังคง Concept เดิมที่ว่าโค้กอยู่ร่วมกับคุณตลอดเวลาอยู่เสมอ นั่นแสดงให้เห็นว่าโค้กมีการย้ำเตือนและยึดมั่นจนเกิดเป็นข้อความที่ไม่จางหายในใจผู้บริโภคอยู่เสมอว่า "ต้องโค้กสิ"
Term of Marketing & Strategic
Coca-Cola มีการถีบตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นการย้ำเตือนและเสริมภาพลักษณ์ของตนเองที่ว่า Coca-Cola หรูหรา ทันสมัย การพัฒนา Package ให้มีรูปร่างแปลกตาและเน้นการ Design ก็ดี การพัฒนาจากแบบฝาจีบ เป็นแบบกระป๋อง หรือฝาเกลียวก็ดี การสร้างรสชาติใหม่ๆอยู่เสมอก็ดี ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงให้เห็นถึงการไม่จมปลักอยู่กับที่ของ Coca-Cola ถึงแม้บางครั้งก็เหมือนเป็นการลองผิดลองถูก เช่นการออกรสชาติใหม่แต่ผลตอบรับที่ได้คือลูกค้าไม่ประทับใจ Coca-Cola จึงเลือกที่จะรักษาความคลาสสิคไว้แต่ก็ยังไม่ปิดช่องการสร้าง Product ใหม่ลงไปแต่จะยังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆหากดีก็จะผลิตขายอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับ Original Product หากไม่ดีเท่าที่ควรก็จะผลิตเป็นแต่ละช่วงเวลาไป ซึงทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Coca-Cola มองลูกค้าเป็นสำคัญ มีการทำ Consumer Insight อยู่ตลอดเวลาและก็ไม่บังคับลูกค้าเกินไป มีสิ่งใหม่ๆแปลกตาออกมาอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้าและยังเป็นการย้ำความมีประสิทธิภาพของตนเอง สามารถตอกย้ำความไว้วางใจในผู้บริโภคได้ต่อไป หรืออาจกล่าวได้ว่า Coca-Cola มีการทำ SWOT เพื่อให้รู้จักตนเองอยู่เสมอ มีการบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้สินค้าของตนไปถึงลูกค้าได้ทุกๆซอกมุมนั่นคือไม่บกพร่องต่อ 4P ด้วยเช่นกัน
What we should learn from Coca-Cola
การรักษาภาพลักษณ์ของ Brand ตนเองและสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในใจผู้บริโภคเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำที่แน่นอนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นธุรกิจเครื่องดื่ม แต่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกธุรกิจทุกผู้ประกอบการ การสร้างความยึดมั่นแข็งแรงและพึ่งพาได้ของตนเองไว้ได้ย่อมหมายถึงการได้มาซึ่งความไว้วางใจของทุกคนรอบข้างไม่จำกัดอยู่เพียงลูกค้าผู้บริโภค แต่ พนักงานหรือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องต่างก็เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อความสำเร็จขององค์กร ปัจจัยที่สำคัญอื่นๆที่ไม่ควรให้เสียหายและดูแลควบคู่กันไปอย่างช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค การสื่อสารถึงผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า การพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง การปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยตอกย้ำใน Brand ให้แข็งแกร่งและจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจผู้บริโภคไปได้
ที่มา : http://coke-world.exteen.com/20080806/entry
จากทุกหัวข้อ Entry ที่กล่าวมาน่าจะสามารถสร้างภาพองค์ประกอบต่างๆกว่าจะมาเป็นโค้กที่รู้จักกันได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมว่าการเป็นก้าวขึ้นมาเป็น Brand อันดับต้นๆที่อยู่ในใจของผู้บริโภคได้มายาวนานกว่า 100 ปีนั้นไม่ได้เกิดจากการถือตนว่าดังแล้วค่อยๆขายๆไปเรื่อย แต่ โค้กต้องฝ่าฟันวิกฤตต่างๆนาๆ มาอย่างยากลำบาก CocaCola มีการเปลี่ยนรูปแบบตัวเองต่างๆนานาๆ แต่ก็พยายามรักษาภาพลักษณ์ของ Brand ตัวเองไว้เป็นสำคัญ ซึ่งมีทั้งการลองผิดลองถูกต่างๆไม่ว่าจะเป็นการออกรสชาติใหม่ๆอยู่ตลอด แต่ก็พยายามรักษาความใกล้เคียงรสชาติดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด หรือไม่ว่าเศรษฐกิจจะทรุดโทรมแค่ไหน CocaCola ก็ยังคงทุ่มงบกับการโฆษณาโดยไม่ทิ้งภาพลักษณ์ของตนเอง ซึ่งการรักษา Brand ของตนไม่ให้เสียมาตรฐานหรือไขว้เขว สามารถตั้งมั่นเป็นที่พึ่งพาที่แข็งแกร่งให้กับคนทั่วไปที่พบเห็นไม่เกิดความคิงกังวลหรือไม่มั่นใจกับตนเองได้นั้นเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ CocaCola ใช้เวลากว่า 100 ปีเรียนรู้มา
Term of Advertising
Coca-Cola รักษา Concept Idea ที่ว่าโค้กจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเป็นหลักในการทำการสื่อสารกับผู้บริโภคมาโดยตลอด ถึงแม้ว่า Campaign Coke side of Life จะเป็น Campaign ที่เริ่มวิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแต่ Coke พยายามทำให้ตัวเองดูเป็นสินค้าที่มีรสนิยม หรูหรา แต่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมาโดยตลอดตั้งแต่ต้น การสร้างสารที่มีเนื้อหาในเหตุการณ์ต่างๆแต่ทุกที่ก็มีโค้กนั้นถูกซึมทราบเข้าไปยังความคิดของผู้บริโภค "ยามกระหายนึกถึงโค้ก", "ยามทานอาหารให้นึกถึงโค้ก" และเมื่อโลกมีการพัฒนาขึ้นช่องทางและแนวคิดอื่นๆที่นำมาสร้างเป็นสารของโค้กก็เพิ่มมากขึ้น แม้จะเกิดการเรียนรู้และสร้างสารที่แตกต่างออกไปตาม Local เพื่อประโยชน์สูงสุดของการสื่อสารขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังคง Concept เดิมที่ว่าโค้กอยู่ร่วมกับคุณตลอดเวลาอยู่เสมอ นั่นแสดงให้เห็นว่าโค้กมีการย้ำเตือนและยึดมั่นจนเกิดเป็นข้อความที่ไม่จางหายในใจผู้บริโภคอยู่เสมอว่า "ต้องโค้กสิ"
Term of Marketing & Strategic
Coca-Cola มีการถีบตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นการย้ำเตือนและเสริมภาพลักษณ์ของตนเองที่ว่า Coca-Cola หรูหรา ทันสมัย การพัฒนา Package ให้มีรูปร่างแปลกตาและเน้นการ Design ก็ดี การพัฒนาจากแบบฝาจีบ เป็นแบบกระป๋อง หรือฝาเกลียวก็ดี การสร้างรสชาติใหม่ๆอยู่เสมอก็ดี ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงให้เห็นถึงการไม่จมปลักอยู่กับที่ของ Coca-Cola ถึงแม้บางครั้งก็เหมือนเป็นการลองผิดลองถูก เช่นการออกรสชาติใหม่แต่ผลตอบรับที่ได้คือลูกค้าไม่ประทับใจ Coca-Cola จึงเลือกที่จะรักษาความคลาสสิคไว้แต่ก็ยังไม่ปิดช่องการสร้าง Product ใหม่ลงไปแต่จะยังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆหากดีก็จะผลิตขายอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับ Original Product หากไม่ดีเท่าที่ควรก็จะผลิตเป็นแต่ละช่วงเวลาไป ซึงทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Coca-Cola มองลูกค้าเป็นสำคัญ มีการทำ Consumer Insight อยู่ตลอดเวลาและก็ไม่บังคับลูกค้าเกินไป มีสิ่งใหม่ๆแปลกตาออกมาอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้าและยังเป็นการย้ำความมีประสิทธิภาพของตนเอง สามารถตอกย้ำความไว้วางใจในผู้บริโภคได้ต่อไป หรืออาจกล่าวได้ว่า Coca-Cola มีการทำ SWOT เพื่อให้รู้จักตนเองอยู่เสมอ มีการบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้สินค้าของตนไปถึงลูกค้าได้ทุกๆซอกมุมนั่นคือไม่บกพร่องต่อ 4P ด้วยเช่นกัน
What we should learn from Coca-Cola
การรักษาภาพลักษณ์ของ Brand ตนเองและสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในใจผู้บริโภคเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำที่แน่นอนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นธุรกิจเครื่องดื่ม แต่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกธุรกิจทุกผู้ประกอบการ การสร้างความยึดมั่นแข็งแรงและพึ่งพาได้ของตนเองไว้ได้ย่อมหมายถึงการได้มาซึ่งความไว้วางใจของทุกคนรอบข้างไม่จำกัดอยู่เพียงลูกค้าผู้บริโภค แต่ พนักงานหรือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องต่างก็เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อความสำเร็จขององค์กร ปัจจัยที่สำคัญอื่นๆที่ไม่ควรให้เสียหายและดูแลควบคู่กันไปอย่างช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค การสื่อสารถึงผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า การพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง การปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยตอกย้ำใน Brand ให้แข็งแกร่งและจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจผู้บริโภคไปได้
ที่มา : http://coke-world.exteen.com/20080806/entry
โค้ก กับ กลยุทธ์ทางการโฆษณา
การโฆษณาเป็นเครื่องมือหนึ่่งที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของ Coca-Cola และเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆเนื่องจากจุดแข็งของการโฆษณาคือมีความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มคนได้เป็นจำนวนมาก และสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างไร้ขีด จำกัดโดย Coca – Cola ใช้การรวมพลังกันของสื่อโฆษณาแบบ 360 องศา เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากและยังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องเสมอ และอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ Coca – Cola ที่จะสามารถสร้างสรรค์ความแปลกใหม่ สร้างจินตนาการ อย่างไม่รู้จบ ซึ่งถือว่าเป็นความแตกต่างของรูปแบบการโฆษณา ซึ่งแบรนด์อื่นยังตามไม่ทันจะเห็นได้จากสื่อโฆษณาต่างๆของโค้กที่สามารถสร้างความสนใจจากผู้บริโภคได้อย่างดีเยี่ยม
เนื่องจากกระแสการดูแลสุขภาพที่มาแรงและเกิดกระแสตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวิถีชีวิตของผู้บริโภคในสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงกับตัวผลิตภัณฑ์ของ Coca – Cola ที่เป็นเพียงน้ำอัดลมซึ่งมีอรรถประโยชน์ที่สำคัญเพียงอย่างเดียวคือเพื่อดับกระหายเท่านั้น จึงไม่สามารถใช้เป็น Key Message ในการบอกผู้บริโภคถึง คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ได้ ทำให้ Coca – Cola ใช้กลยุทธ์หลักๆ 3 แบบ คือ Brand Image Strategy, Product Positioning Stategy และ Resonance Strategy ในการสื่อสารเพื่อเน้นการเข้าถึงอารมณ์ของผู้รับสาร (Emotional) ซึ่งปัจจุบัน Coca-Cola ได้ใช้ Campaign "เลือกโค้กด้านดีๆของชีวิต" หรือ “The Coke Side Of Life” ซึ่งมุ่งนำเสนอด้านอารมณ์ต่างๆของผู้บริโภค แสดงให้เห็นความสนุกสนาน ร่าเริง สดใส และจินตนาการ เพื่อต้องการสื่อให้เห็นถึงความสอดคล้องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของผู้บริโภค ว่าเมื่อดื่ม Coke จะมีความสุข สดชื่น
ด้วยจุดแข็ง คือ ความเป็น Global Brand รูปแบบการโฆษณา ย่อมเป็น Campaign เดียวกันทั่วโลก ซึ่งทำให้การโฆษณาของ Coca – Cola มีความเป็นเอกภาพสูงสามารถตอกย้ำ แนวคิด หรือ Concept ของ Brand ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งโค้กยังมุ่งสื่อสารในเรื่องของ Brand มากกว่า ตัวผลิตภัณฑ์ เพราะ Coca – Cola นั้นไม่เพียงแต่ต้องการให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้น แต่ยังมุ่งสร้าง Loyalty เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความรักและกลมเกลียวใน Brand อีกด้วย ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง สำหรับรูปแบบการนำเสนอในสื่อโฆษณาต่างๆนั้น Coca – Cola จะสื่อให้Brand เข้าไปอยู่ใน Life Style ของผู้บริโภค ไม่ว่าจะ เป็นดนตรีหรือกีฬา จะเห็นได้จากการเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนของมหกรรมกีฬาระดับโลกและกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่คนทั่วโลกสนใจเหมือนๆกัน
โดยส่วนใหญ่แล้ว Coke จะใช้การนำเสนอแบบ Vignettes และไม่เน้นการใช้ Celebrities ซึ่งโค้กต้องการสร้างความผูกพันธ์กับผู้บริโภค จึงเลือกใช้บุคคลที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นตัวแทนของผู้บริโภคทุกคนสำหรับ Mood & Tone จะเน้นอารมณ์ที่สนุกสนาน สดใส สดชื่น และมีจินตนาการ มุ่งสร้างความสุขให้กับผู้บริโภค และใช้สีแดงเป็นหลักเนื่องจาก เป็นสีของ Brand และสิ่งที่ Coca – Cola ให้ความสำคัญกับ รูปแบบการนำเสนอ (Execution) มากที่สุดคือคือต้องมีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปสื่อใดก็ตาม ซึ่งทำให้ชิ้นงานโฆษณาของ Coca – Cola มีความโดดเด่น และน่าสนใจมากกว่าโฆษณาอื่นๆ และยังสามารถเป็นโฆษณาที่ ผู้บริโภค หรือผู้พบเห็น รัก และ ประทับใจ ได้อีกด้วย
เนื่องจากกระแสการดูแลสุขภาพที่มาแรงและเกิดกระแสตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวิถีชีวิตของผู้บริโภคในสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงกับตัวผลิตภัณฑ์ของ Coca – Cola ที่เป็นเพียงน้ำอัดลมซึ่งมีอรรถประโยชน์ที่สำคัญเพียงอย่างเดียวคือเพื่อดับกระหายเท่านั้น จึงไม่สามารถใช้เป็น Key Message ในการบอกผู้บริโภคถึง คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ได้ ทำให้ Coca – Cola ใช้กลยุทธ์หลักๆ 3 แบบ คือ Brand Image Strategy, Product Positioning Stategy และ Resonance Strategy ในการสื่อสารเพื่อเน้นการเข้าถึงอารมณ์ของผู้รับสาร (Emotional) ซึ่งปัจจุบัน Coca-Cola ได้ใช้ Campaign "เลือกโค้กด้านดีๆของชีวิต" หรือ “The Coke Side Of Life” ซึ่งมุ่งนำเสนอด้านอารมณ์ต่างๆของผู้บริโภค แสดงให้เห็นความสนุกสนาน ร่าเริง สดใส และจินตนาการ เพื่อต้องการสื่อให้เห็นถึงความสอดคล้องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของผู้บริโภค ว่าเมื่อดื่ม Coke จะมีความสุข สดชื่น
ด้วยจุดแข็ง คือ ความเป็น Global Brand รูปแบบการโฆษณา ย่อมเป็น Campaign เดียวกันทั่วโลก ซึ่งทำให้การโฆษณาของ Coca – Cola มีความเป็นเอกภาพสูงสามารถตอกย้ำ แนวคิด หรือ Concept ของ Brand ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งโค้กยังมุ่งสื่อสารในเรื่องของ Brand มากกว่า ตัวผลิตภัณฑ์ เพราะ Coca – Cola นั้นไม่เพียงแต่ต้องการให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้น แต่ยังมุ่งสร้าง Loyalty เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความรักและกลมเกลียวใน Brand อีกด้วย ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง สำหรับรูปแบบการนำเสนอในสื่อโฆษณาต่างๆนั้น Coca – Cola จะสื่อให้Brand เข้าไปอยู่ใน Life Style ของผู้บริโภค ไม่ว่าจะ เป็นดนตรีหรือกีฬา จะเห็นได้จากการเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนของมหกรรมกีฬาระดับโลกและกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่คนทั่วโลกสนใจเหมือนๆกัน
โดยส่วนใหญ่แล้ว Coke จะใช้การนำเสนอแบบ Vignettes และไม่เน้นการใช้ Celebrities ซึ่งโค้กต้องการสร้างความผูกพันธ์กับผู้บริโภค จึงเลือกใช้บุคคลที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นตัวแทนของผู้บริโภคทุกคนสำหรับ Mood & Tone จะเน้นอารมณ์ที่สนุกสนาน สดใส สดชื่น และมีจินตนาการ มุ่งสร้างความสุขให้กับผู้บริโภค และใช้สีแดงเป็นหลักเนื่องจาก เป็นสีของ Brand และสิ่งที่ Coca – Cola ให้ความสำคัญกับ รูปแบบการนำเสนอ (Execution) มากที่สุดคือคือต้องมีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปสื่อใดก็ตาม ซึ่งทำให้ชิ้นงานโฆษณาของ Coca – Cola มีความโดดเด่น และน่าสนใจมากกว่าโฆษณาอื่นๆ และยังสามารถเป็นโฆษณาที่ ผู้บริโภค หรือผู้พบเห็น รัก และ ประทับใจ ได้อีกด้วย
Marketing a Drink, but Never by Name
COMMERCIALS for Coca-Cola are sometimes so completely shrouded by storytelling that viewers can make a game of brand-spotting. The game — let’s call it “Spot the Coke Can” — takes a particularly long time during the cinematic spots in movie theaters.
In the global advertising campaign called Open Happiness that was introduced in January, the Coca Cola Company takes the game to a logical last step by omitting any reference to the brand in a catchy song it created and sold last winter.
With the title “Open Happiness,” the song is an advertisement by association.
•
Coca-Cola signed a crew of well-known band members and performers to record the single. It also produced several different language versions for other countries.
On Thursday morning, the song will take another promotional step forward when MTV is expected to show the premiere of the music video for “Open Happiness.” Coca-Cola said it did not pay MTV for the showing.
As is the case with the song, viewers of the video will be hard-pressed to spot the Coca-Cola brand. “I studied the video like the Zapruder film,” said a Coke spokesman, Petro Kacur, and the Coke reference “is so super-fast that you really have to be looking for it.”
Umut Ozaydinli, the global music marketing manager for the Coca-Cola Company, said the upbeat song pulled consumers into the Open Happiness campaign, rather than pushing it on them like traditional advertising.
“Coca-Cola is such a strong and magical brand that we can come out with something with no branding or very little branding,” he said in a telephone interview from Turkey on Wednesday, where the company plans to release a Turkish-language version of the song. “All the communications we are doing around the song enable consumers to connect the song with the brand.”
While Coca-Cola has produced songs in the past — before the Summer Olympics in Beijing last year, the company released eight song remixes by D.J.’s — “Open Happiness” stands out because the company is charging for the single on iTunes and Amazon.com. The musical strategy may remind some of “I’d Like to Teach the World to Sing,” the jingle-turned-pop-hit that was first featured as a part of Coca-Cola’s classic 1971 commercial known as “Hilltop.” In the commercial, young people sang about wanting to “buy the world a Coke.”
“I think they have been looking for something that has that kind of impact,” said John Rudolph, the chief executive of Bug Music, which licenses songs for commercial uses.
Music is, of course, an important part of many advertisers’ messages. Last year, for instance, the R&B singer Chris Brown released a hit song, “Forever,” that doubled as a jingle for the Doublemint brand of gum. The song even incorporated the product’s slogan, “double your pleasure, double your fun,” into the lyrics.
Mr. Rudolph noted that few companies are able to afford the production of an original song that doesn’t even mention the brand. But if any company can, it’s Coca-Cola.
For “Open Happiness,” the company collaborated with Atlantic Records and signed Cee-Lo Green of Gnarls Barkley, Patrick Stump of Fall Out Boy, Brendon Urie of Panic at the Disco, Travis McCoy of Gym Class Heroes, and Janelle Monae to lend their voices to the song. Ms. Monae, a Grammy-nominated singer and songwriter, said it “was promoting a good cause,” happiness, that all people could agree on.
Being able to work with fellow artists and “write the words and lyrics that we like without feeling like the company was saying, ‘Sing about Coca-Cola,’ it made it more true to my core values,” she said.
•
The lyrics for the “Open Happiness” song are as sweet and bubbly as the soft drink. “C’mon and lift me up, it’s a brand new day, open up a lil’ happiness today, so I can be someone new,” goes the chorus. The single was released in the United States in March. Tying the music video to the Coke commercials for the campaign is the same five-note melody.
Mr. Ozaydinli speculated that the lack of an in-your-face Coke message is “one of the key reasons” consumers have shown interest in the song. On MySpace, it has been streamed more than 600,000 times.
According to Coca-Cola, the single reached the No. 1 spot on the top 100 music download chart of Baidu.com, a leading Chinese Web site.
But it has not found as many fans in the United States: it reached No. 37 on Apple iTunes pop chart for a short period of time, the company said, and no longer appears on the iTunes lists.
Mr. Ozaydinli acknowledged that the song did not perform as well in the United States, but said that “chart success is only one element of the equation.” Mr. Ozaydinli said Coca-Cola may sell copies of the single in some markets.
Coca-Cola said it would consider producing future songs for the Open Happiness campaign in the coming months. A half-French, half-English-language version of the tune will be released in time for the Winter Olympics in Vancouver next year.
Source : http://english.alrroya.com
In the global advertising campaign called Open Happiness that was introduced in January, the Coca Cola Company takes the game to a logical last step by omitting any reference to the brand in a catchy song it created and sold last winter.
With the title “Open Happiness,” the song is an advertisement by association.
•
Coca-Cola signed a crew of well-known band members and performers to record the single. It also produced several different language versions for other countries.
On Thursday morning, the song will take another promotional step forward when MTV is expected to show the premiere of the music video for “Open Happiness.” Coca-Cola said it did not pay MTV for the showing.
As is the case with the song, viewers of the video will be hard-pressed to spot the Coca-Cola brand. “I studied the video like the Zapruder film,” said a Coke spokesman, Petro Kacur, and the Coke reference “is so super-fast that you really have to be looking for it.”
Umut Ozaydinli, the global music marketing manager for the Coca-Cola Company, said the upbeat song pulled consumers into the Open Happiness campaign, rather than pushing it on them like traditional advertising.
“Coca-Cola is such a strong and magical brand that we can come out with something with no branding or very little branding,” he said in a telephone interview from Turkey on Wednesday, where the company plans to release a Turkish-language version of the song. “All the communications we are doing around the song enable consumers to connect the song with the brand.”
While Coca-Cola has produced songs in the past — before the Summer Olympics in Beijing last year, the company released eight song remixes by D.J.’s — “Open Happiness” stands out because the company is charging for the single on iTunes and Amazon.com. The musical strategy may remind some of “I’d Like to Teach the World to Sing,” the jingle-turned-pop-hit that was first featured as a part of Coca-Cola’s classic 1971 commercial known as “Hilltop.” In the commercial, young people sang about wanting to “buy the world a Coke.”
“I think they have been looking for something that has that kind of impact,” said John Rudolph, the chief executive of Bug Music, which licenses songs for commercial uses.
Music is, of course, an important part of many advertisers’ messages. Last year, for instance, the R&B singer Chris Brown released a hit song, “Forever,” that doubled as a jingle for the Doublemint brand of gum. The song even incorporated the product’s slogan, “double your pleasure, double your fun,” into the lyrics.
Mr. Rudolph noted that few companies are able to afford the production of an original song that doesn’t even mention the brand. But if any company can, it’s Coca-Cola.
For “Open Happiness,” the company collaborated with Atlantic Records and signed Cee-Lo Green of Gnarls Barkley, Patrick Stump of Fall Out Boy, Brendon Urie of Panic at the Disco, Travis McCoy of Gym Class Heroes, and Janelle Monae to lend their voices to the song. Ms. Monae, a Grammy-nominated singer and songwriter, said it “was promoting a good cause,” happiness, that all people could agree on.
Being able to work with fellow artists and “write the words and lyrics that we like without feeling like the company was saying, ‘Sing about Coca-Cola,’ it made it more true to my core values,” she said.
•
The lyrics for the “Open Happiness” song are as sweet and bubbly as the soft drink. “C’mon and lift me up, it’s a brand new day, open up a lil’ happiness today, so I can be someone new,” goes the chorus. The single was released in the United States in March. Tying the music video to the Coke commercials for the campaign is the same five-note melody.
Mr. Ozaydinli speculated that the lack of an in-your-face Coke message is “one of the key reasons” consumers have shown interest in the song. On MySpace, it has been streamed more than 600,000 times.
According to Coca-Cola, the single reached the No. 1 spot on the top 100 music download chart of Baidu.com, a leading Chinese Web site.
But it has not found as many fans in the United States: it reached No. 37 on Apple iTunes pop chart for a short period of time, the company said, and no longer appears on the iTunes lists.
Mr. Ozaydinli acknowledged that the song did not perform as well in the United States, but said that “chart success is only one element of the equation.” Mr. Ozaydinli said Coca-Cola may sell copies of the single in some markets.
Coca-Cola said it would consider producing future songs for the Open Happiness campaign in the coming months. A half-French, half-English-language version of the tune will be released in time for the Winter Olympics in Vancouver next year.
Source : http://english.alrroya.com
Overseas Growth Lifts Coke’s Profit
Profit topped forecasts but Coca-Cola’s stock fell slightly after the company said it expected foreign currency exchange rates to hurt its results in the third quarter, as they did in the first.
Coca-Cola said it earned $2.04 billion, or 88 cents a share, up from $1.42 billion, or 61 cents a share, a year earlier, when it posted a big one-time charge. Sales in the period, which ended July 3, fell 9 percent, to $8.27 billion, from $9.05 billion.
International sales are helping carry the company and are setting it up for long-term growth, said Jack Russo, an industry analyst at Edward Jones.
International sales volume rose 5 percent in the quarter, with gains of 10 percent or more in China and India, while domestic sales volume fell 1 percent, reflecting the trend of North American consumers cutting back on their spending.
Shares of Coca-Cola, which is based in Atlanta, fell 68 cents, to $50.35 a share.
Coca-Cola Posts Strong Profit on Emerging-Market Sale
The Coca-Cola Company reported stronger-than-expected quarterly sales on Tuesday as higher demand in Brazil, China and India offset a decline in North America.
Lower costs and higher volume helped increase profit, which was in line with analysts’ estimates. The company gained market share in the carbonated and noncarbonated beverage
The results continued a trend for the company, which sells Diet Coke, Sprite and Dasani water among other brands. The company has relied on strength overseas to counter a weak North American market that has experienced high unemployment and low consumer confidence.
“This continues to be a story about emerging-market growth,” an analyst at Morningstar, Phil Gorham, said. He pointed to the strong numbers in China and India, particularly when comparing them against “a pretty strong quarter in ’08.”
Still, the company gave a tepid outlook.
“With consumers still challenged by a mixed global recovery, there again may be bumps along the way, with quarter-to-quarter volatility still possible as we move through 2010,” the chief executive, Muhtar Kent, said.
Coca-Cola said net income attributable to shareholders rose to $1.54 billion, or 66 cents a share, from $995 million, or 43 cents a share, a year earlier. Analysts’ average forecast was 66 cents a share, according to Thomson Reuters.
Net operating revenue rose 5 percent, to $7.51 billion, topping analysts’ average forecast of $7.22 billion.
Sales by volume — an important measure for investors — rose 5 percent, outpacing gains of 2 percent in the third quarter, 4 percent in the second quarter and 2 percent in the first quarter.
Several analysts were expecting volume to grow about 2 percent.
Fourth-quarter sales volume rose 11 percent in the Pacific region, driven by a 29 percent increase in China, where Coke said it would continue to focus on generating double-digit annual growth rates.
Sales volume rose 7 percent in Latin America, 1 percent in Europe and 5 percent in the company’s Eurasia and Africa division.
Volume fell 1 percent in the North American market because of continued pressure on consumer spending and weak traffic to restaurants. Still, that decline was smaller than the 4 percent drop in the previous quarter.
Source : http://www.nytimes.com/
Lower costs and higher volume helped increase profit, which was in line with analysts’ estimates. The company gained market share in the carbonated and noncarbonated beverage
The results continued a trend for the company, which sells Diet Coke, Sprite and Dasani water among other brands. The company has relied on strength overseas to counter a weak North American market that has experienced high unemployment and low consumer confidence.
“This continues to be a story about emerging-market growth,” an analyst at Morningstar, Phil Gorham, said. He pointed to the strong numbers in China and India, particularly when comparing them against “a pretty strong quarter in ’08.”
Still, the company gave a tepid outlook.
“With consumers still challenged by a mixed global recovery, there again may be bumps along the way, with quarter-to-quarter volatility still possible as we move through 2010,” the chief executive, Muhtar Kent, said.
Coca-Cola said net income attributable to shareholders rose to $1.54 billion, or 66 cents a share, from $995 million, or 43 cents a share, a year earlier. Analysts’ average forecast was 66 cents a share, according to Thomson Reuters.
Net operating revenue rose 5 percent, to $7.51 billion, topping analysts’ average forecast of $7.22 billion.
Sales by volume — an important measure for investors — rose 5 percent, outpacing gains of 2 percent in the third quarter, 4 percent in the second quarter and 2 percent in the first quarter.
Several analysts were expecting volume to grow about 2 percent.
Fourth-quarter sales volume rose 11 percent in the Pacific region, driven by a 29 percent increase in China, where Coke said it would continue to focus on generating double-digit annual growth rates.
Sales volume rose 7 percent in Latin America, 1 percent in Europe and 5 percent in the company’s Eurasia and Africa division.
Volume fell 1 percent in the North American market because of continued pressure on consumer spending and weak traffic to restaurants. Still, that decline was smaller than the 4 percent drop in the previous quarter.
Source : http://www.nytimes.com/
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553
BOYCOTT ISRAEL CAMPAIGN
BOYCOTT Coca Cola
From 1966 Coca-Cola has been a staunch supporter of Israel. In 1997 the Government of Israel Economic Mission honored Coca-Cola at the Israel Trade Award Dinner for its continued support of Israel for the last 30 years and for refusing to abide by the Arab League boycott of Israel.
Every year Coca Cola bankrolls the American-Israel Chamber of Commerce Awards which honors companies that have contributed most to the Israeli economy. In 2009 a Coca-Cola sponsored award went to Israel’s Lobby AIPAC for its lobbying of the Senate to reject of the UN call for "immediate ceasefire" and endorse the continuation of the Israel military assault on Gaza.
In 2008 Coca-Cola tasked the Israeli venture capital Challenge Fund to locate suitable investments in Israel with a promise of "a blank cheque” . This agreement is exceptional in the Israeli venture capital industry.
In 2009 Coca-Cola hosted a special reception at the Coca-Cola world headquarters to honour Brigadier-General Ben-Eliezer. Ben-Eliezer is a wanted war criminal, during the Six-Day War his unit was responsible for the execution of over 300 Egyptian POWs. Under Sharon, Ben-Eliezer served as Defence Minister presiding over the massacre at Jenin.
Coca-Cola Israel owns dairy farms in the illegal Israeli settlements of Shadmot Mechola in the Jordan Valley and a plant in the industrial zone of Katzerin n the occupied Golan Heights
From 1966 Coca-Cola has been a staunch supporter of Israel. In 1997 the Government of Israel Economic Mission honored Coca-Cola at the Israel Trade Award Dinner for its continued support of Israel for the last 30 years and for refusing to abide by the Arab League boycott of Israel.
Every year Coca Cola bankrolls the American-Israel Chamber of Commerce Awards which honors companies that have contributed most to the Israeli economy. In 2009 a Coca-Cola sponsored award went to Israel’s Lobby AIPAC for its lobbying of the Senate to reject of the UN call for "immediate ceasefire" and endorse the continuation of the Israel military assault on Gaza.
In 2008 Coca-Cola tasked the Israeli venture capital Challenge Fund to locate suitable investments in Israel with a promise of "a blank cheque” . This agreement is exceptional in the Israeli venture capital industry.
In 2009 Coca-Cola hosted a special reception at the Coca-Cola world headquarters to honour Brigadier-General Ben-Eliezer. Ben-Eliezer is a wanted war criminal, during the Six-Day War his unit was responsible for the execution of over 300 Egyptian POWs. Under Sharon, Ben-Eliezer served as Defence Minister presiding over the massacre at Jenin.
Coca-Cola Israel owns dairy farms in the illegal Israeli settlements of Shadmot Mechola in the Jordan Valley and a plant in the industrial zone of Katzerin n the occupied Golan Heights
Holiday campaigns
Coca-Cola Christmas truck in Germany.
The "Holidays are coming!" advertisement features a train of red delivery trucks, emblazoned with the Coca-Cola name and decorated with electric lights, driving through a snowy landscape and causing everything that they pass to light up and people to watch as they pass through.[69]
The advertisement fell into disuse in 2001, as the Coca-Cola company restructured its advertising campaigns so that advertising around the world was produced locally in each country, rather than centrally in the company's headquarters in Atlanta, Georgia.[70] However, in 2007, the company brought back the campaign after, according to the company, many consumers telephoned its information center saying that they considered it to mark the beginning of Christmas.[69] The advertisement was created by U.S. advertising agency Doner, and has been part of the company's global advertising campaign for many years.[71]
Keith Law, a producer and writer of commercials for Belfast CityBeat, was not convinced by Coca-Cola's reintroduction of the advertisement in 2007, saying that "I don't think there's anything Christmassy about HGVs and the commercial is too generic."[72]
In 2001, singer Melanie Thornton recorded the campaign's advertising jingle as a single, Wonderful Dream (Holidays are Coming), which entered the pop-music charts in Germany at no. 9.[73][74] In 2005, Coca-Cola expanded the advertising campaign to radio, employing several variations of the jingle.[75]
Coca Cola the number one brand
The top brand in the world is Coca Cola leaving its rival Pepsi far behind. Coca Cola was in the number one spot in the top 100 brands of the world in consecutive 2006 and 2007 years. Though the brand value in 2007 has decreased, it is still able to maintain its spot at number one. The brands that have been behind Coca Cola since 2006 includes brands like Microsoft, IBM and GE. The rest of the brands in the top 100 have been in the ups and downs leaving these four big brands. The improvement in the brand value of Microsoft could not overtake the top one spot in spite of Coca Cola’s decreased brand value.
The market share of Coca Cola and it’s rival Pepsi might be 50-50 in many parts of the world but when it comes to Nepal, the market share structure would be 3:1. The factor which needs to be credited for this data of Coca Cola’s market share cannot be determined that easily. As far as I know, the factors could be, the management and the quality it has maintained. The company with the largest paper work in Nepal had Bottlers Nepal, the sole distributor for Coke in the second spot. This also proves that the management is good and the quality maintenance needs no description at all.
There were ups and downs in Coke. A couple of years or so, the workers went on for a strike all over Nepal in Bottler’s Company resulting the distribution and production into halt. To worsen this case, this halt was in existence in the peak season which was finally solved.
The year 2008 could be different and nothing is predictable. The number one spot could be snatched by Microsoft in this present age of information technology. If only Coca Cola could come up with some beverage for chilling cold with the same brand, who knows they might still be at the number one spot for the next ten years or so.
Source : http://www.mewrites.com/2008/01
The market share of Coca Cola and it’s rival Pepsi might be 50-50 in many parts of the world but when it comes to Nepal, the market share structure would be 3:1. The factor which needs to be credited for this data of Coca Cola’s market share cannot be determined that easily. As far as I know, the factors could be, the management and the quality it has maintained. The company with the largest paper work in Nepal had Bottlers Nepal, the sole distributor for Coke in the second spot. This also proves that the management is good and the quality maintenance needs no description at all.
There were ups and downs in Coke. A couple of years or so, the workers went on for a strike all over Nepal in Bottler’s Company resulting the distribution and production into halt. To worsen this case, this halt was in existence in the peak season which was finally solved.
The year 2008 could be different and nothing is predictable. The number one spot could be snatched by Microsoft in this present age of information technology. If only Coca Cola could come up with some beverage for chilling cold with the same brand, who knows they might still be at the number one spot for the next ten years or so.
Source : http://www.mewrites.com/2008/01
โฆษณา..เห็นแสงสว่างรำไร "โค้ก" ฮอต ทุ่มงบฯสูงสุด 3 เดือนซ้อน
โฆษณา..เห็นแสงสว่างรำไร "โค้ก" ฮอต ทุ่มงบฯสูงสุด 3 เดือนซ้อน
โดย Maxxi » อังคาร 24 พ.ย. 2009 6:10 pm จากเว็บ ad tvc thai
http://www.adtvcthai.com/news/1973
อาจเป็นเรื่องที่เกินคาดหมายในหลาย ๆ ประเด็นสำหรับธุรกิจโฆษณาในปีนี้ !
เพราะบรรยากาศโดยรวมในช่วงครึ่งแรกนั้น ตัวเลขธุรกิจโฆษณาออกมาติดลบทุกเดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ กระทั่งถึงเดือนกรกฎาคม โดยมีอัตราติดลบโดยรวมราว 4-5%
ที่สำคัญหลาย ๆ ฝ่ายยังประเมินภาพไว้แบบน่ากลัวว่า สินค้าต่าง ๆ แห่ตัดงบฯกันแบบระเนระนาด โดยเฉพาะโกลบอลแบรนด์
แต่จากรายงานของนีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ซ (ประเทศไทย) ในช่วง 10 เดือนของปี (มกราคม-ตุลาคม) กลับพบว่ามีมูลค่ารวม 73,422 ล้านบาท ติดลบเพียงแค่ 1.45% ซึ่งไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาด
โดยสื่อทีวีมีมูลค่ารวม 43,236 ล้านบาท ขยายตัว 1.83% วิทยุ 5,052 ล้านบาท ติดลบ 12.18% หนังสือพิมพ์ 11,283 ล้านบาท ติดลบ 10.10% นิตยสาร 4,356 ล้านบาท ติดลบ 11.93% โรงหนัง 3,812 ล้านบาท ขยายตัว 14.54% สื่อกลางแจ้ง 3,327 ล้านบาท ติดลบ 5.51% สื่อเคลื่อนที่ 1,471 ล้านบาท ขยายตัว 30.41% สื่อในห้าง (in store) 689 ล้านบาท ขยายตัว 1.47% และอินเทอร์เน็ต 197 ล้านบาท ขยายตัว 31.33%
อย่างไรก็ตาม หากดูบริษัทที่ใช้งบฯสูงสุด 10 อันดับแรก พบว่ามีถึง 8 บริษัทที่ใช้งบฯเพิ่มขึ้น มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่ใช้งบฯลดลง และก็เป็นการใช้งบฯลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หรือกรณีของยักษ์ใหญ่ ด้านคอนซูเมอร์ โปรดักต์อย่าง "ยูนิลีเวอร์" ที่เดิมทีเดียวคาดว่าน่าจะใช้งบฯลดลงถึงเท่าตัว แต่ เอาเข้าจริง ๆ กลับใช้งบฯในสัดส่วนที่ เพิ่มขึ้นถึงกว่า 540 ล้านบาท ในช่วง 10 เดือนแรก แถมยังเป็นบริษัทที่หยุดใช้งบฯโฆษณาผ่านช่อง 7 สี ไปถึง 6 เดือนเต็ม ๆ ด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกับ "นีเวีย" ของไบเออร์ สดร๊อฟ ก็มีอัตราการใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อเพิ่มขึ้นถึงกว่า 530 ล้านบาท หรือกรณีของเครื่องดื่ม "โคคา-โคลา" ก็พบว่าเป็นค่ายที่ใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อเพิ่มขึ้นถึงกว่า 250 ล้านบาท
โดยในส่วนของโคคา-โคลานั้นยังพบว่าใช้งบฯโฆษณากับเครื่องดื่ม "โค้ก" ไปมหาศาลทีเดียวในปีนี้
และพบว่า "โค้ก" เป็นเบรนด์ที่ใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อสูงสุดเป็นอับ 1 ติดต่อกัน ถึง 3 เดือนแล้ว นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา และยังเป็นผู้นำใช้งบฯสูงสุด อันดับ 1 ที่นำโด่งอันดับ 2 และ 3 อย่างชัดเจนอีกด้วย โดยในเดือนสิงหาคม โค้ก ใช้งบฯโฆษณาไปถึง 100 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 2 ออย ออฟ โอเลย์ ใช้งบฯ 67.92 ล้านบาท เดือนกันยายน โค้กใช้งบฯโฆษณา 80.28 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 2 คือโทรศัพท์แบบเติมเงินแฮปปี้ ใช้งบฯ 59.39 ล้านบาท และล่าสุดเดือนตุลาคม โค้กใช้งบฯโฆษณา 93.66 ล้านบาท ขณะที่ อันดับ 2 คือไทยประกันชีวิต ใช้งบฯ 88.34 ล้านบาท
ส่งผลให้ "โค้ก" เป็นแบรนด์ที่ใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในรอบ 10 เดือนแรกที่ผ่านมา โดยใช้เพิ่มงบฯเพิ่มขึ้นถึงกว่า 200 ล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่า ปีนี้เป็นปีที่โค้กวางแผนบุกตลาดอย่างหนักตั้งแต่ต้นปี โดยจะพบว่ามีการทุ่มงบฯโฆษณาและ การตลาดเพิ่มขึ้นทุกเดือน นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนสิงหาคม เนื่องจากมีแคมเปญ ใหญ่อย่างต่อเนื่อง อาทิ แคมเปญ "อร่อยขึ้น สนุกขึ้น อย่างเนี้ย...ต้องโค้ก" ด้วยการเลือกร้านอาหารชื่อดังสุดอร่อยจาก 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ มาให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลองแบบอร่อยซ่ายกกรุง ในช่วงเดือนกรกฎาคม กิจกรรมฉลอง 50 ปี ไทยน้ำทิพย์ ในช่วงเดือนสิงหาคม
ล่าสุดเดือนตุลาคมยังได้ออกแคมเปญ "โอเพ่น แฮปปี้เนส" ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลก ที่โคคา-โคลาในแต่ละประเทศร่วมส่งความสุขผ่านเสียงเพลงไปยังทุกคนผ่านศิลปิน ซึ่งในประเทศไทยได้เลือกศิลปินวงแทททู คัลเลอร์ ผ่านเพลงไทยแลนด์ โอเพ่น
พร้อมเตรียมจัดมหกรรมดนตรี "โค้กซ่า เฟสติวัล 2009" กับศิลปิน 13 วง ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ ที่ลานมอเตอร์สปอร์ตแลนด์ ซึ่งเป็นแคมเปญที่ต่อเนื่องมาจาก "เปิดโค้กซ่า เปิดความสุข" ซึ่งเป็นโกบอลแคมเปญก่อนหน้านั้น ว่ากันว่า แค่แคมเปญนี้แคมเปญเดียว โค้กใช้งบฯโฆษณาและการตลาดไปถึง 75 ล้านบาทเลยทีเดียว
แนวโน้มอัดกันแรงขนาดนี้ เสียงคนโฆษณาส่วนใหญ่จึงเชื่อกันว่า ธุรกิจโฆษณาโดยรวมในปีนี้น่าจะรักษาสถานภาพให้อยู่ในภาวะเอาตัวรอดได้ ...หรือหากติดลบ ก็ไม่น่าหนักอย่างที่คาดการณ์กันไว้เมื่อต้นปี
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
http://www.cokethai.com/forum/viewtopic.php?f=5&t=754
โดย Maxxi » อังคาร 24 พ.ย. 2009 6:10 pm จากเว็บ ad tvc thai
http://www.adtvcthai.com/news/1973
อาจเป็นเรื่องที่เกินคาดหมายในหลาย ๆ ประเด็นสำหรับธุรกิจโฆษณาในปีนี้ !
เพราะบรรยากาศโดยรวมในช่วงครึ่งแรกนั้น ตัวเลขธุรกิจโฆษณาออกมาติดลบทุกเดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ กระทั่งถึงเดือนกรกฎาคม โดยมีอัตราติดลบโดยรวมราว 4-5%
ที่สำคัญหลาย ๆ ฝ่ายยังประเมินภาพไว้แบบน่ากลัวว่า สินค้าต่าง ๆ แห่ตัดงบฯกันแบบระเนระนาด โดยเฉพาะโกลบอลแบรนด์
แต่จากรายงานของนีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ซ (ประเทศไทย) ในช่วง 10 เดือนของปี (มกราคม-ตุลาคม) กลับพบว่ามีมูลค่ารวม 73,422 ล้านบาท ติดลบเพียงแค่ 1.45% ซึ่งไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาด
โดยสื่อทีวีมีมูลค่ารวม 43,236 ล้านบาท ขยายตัว 1.83% วิทยุ 5,052 ล้านบาท ติดลบ 12.18% หนังสือพิมพ์ 11,283 ล้านบาท ติดลบ 10.10% นิตยสาร 4,356 ล้านบาท ติดลบ 11.93% โรงหนัง 3,812 ล้านบาท ขยายตัว 14.54% สื่อกลางแจ้ง 3,327 ล้านบาท ติดลบ 5.51% สื่อเคลื่อนที่ 1,471 ล้านบาท ขยายตัว 30.41% สื่อในห้าง (in store) 689 ล้านบาท ขยายตัว 1.47% และอินเทอร์เน็ต 197 ล้านบาท ขยายตัว 31.33%
อย่างไรก็ตาม หากดูบริษัทที่ใช้งบฯสูงสุด 10 อันดับแรก พบว่ามีถึง 8 บริษัทที่ใช้งบฯเพิ่มขึ้น มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่ใช้งบฯลดลง และก็เป็นการใช้งบฯลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หรือกรณีของยักษ์ใหญ่ ด้านคอนซูเมอร์ โปรดักต์อย่าง "ยูนิลีเวอร์" ที่เดิมทีเดียวคาดว่าน่าจะใช้งบฯลดลงถึงเท่าตัว แต่ เอาเข้าจริง ๆ กลับใช้งบฯในสัดส่วนที่ เพิ่มขึ้นถึงกว่า 540 ล้านบาท ในช่วง 10 เดือนแรก แถมยังเป็นบริษัทที่หยุดใช้งบฯโฆษณาผ่านช่อง 7 สี ไปถึง 6 เดือนเต็ม ๆ ด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกับ "นีเวีย" ของไบเออร์ สดร๊อฟ ก็มีอัตราการใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อเพิ่มขึ้นถึงกว่า 530 ล้านบาท หรือกรณีของเครื่องดื่ม "โคคา-โคลา" ก็พบว่าเป็นค่ายที่ใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อเพิ่มขึ้นถึงกว่า 250 ล้านบาท
โดยในส่วนของโคคา-โคลานั้นยังพบว่าใช้งบฯโฆษณากับเครื่องดื่ม "โค้ก" ไปมหาศาลทีเดียวในปีนี้
และพบว่า "โค้ก" เป็นเบรนด์ที่ใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อสูงสุดเป็นอับ 1 ติดต่อกัน ถึง 3 เดือนแล้ว นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา และยังเป็นผู้นำใช้งบฯสูงสุด อันดับ 1 ที่นำโด่งอันดับ 2 และ 3 อย่างชัดเจนอีกด้วย โดยในเดือนสิงหาคม โค้ก ใช้งบฯโฆษณาไปถึง 100 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 2 ออย ออฟ โอเลย์ ใช้งบฯ 67.92 ล้านบาท เดือนกันยายน โค้กใช้งบฯโฆษณา 80.28 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 2 คือโทรศัพท์แบบเติมเงินแฮปปี้ ใช้งบฯ 59.39 ล้านบาท และล่าสุดเดือนตุลาคม โค้กใช้งบฯโฆษณา 93.66 ล้านบาท ขณะที่ อันดับ 2 คือไทยประกันชีวิต ใช้งบฯ 88.34 ล้านบาท
ส่งผลให้ "โค้ก" เป็นแบรนด์ที่ใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในรอบ 10 เดือนแรกที่ผ่านมา โดยใช้เพิ่มงบฯเพิ่มขึ้นถึงกว่า 200 ล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่า ปีนี้เป็นปีที่โค้กวางแผนบุกตลาดอย่างหนักตั้งแต่ต้นปี โดยจะพบว่ามีการทุ่มงบฯโฆษณาและ การตลาดเพิ่มขึ้นทุกเดือน นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนสิงหาคม เนื่องจากมีแคมเปญ ใหญ่อย่างต่อเนื่อง อาทิ แคมเปญ "อร่อยขึ้น สนุกขึ้น อย่างเนี้ย...ต้องโค้ก" ด้วยการเลือกร้านอาหารชื่อดังสุดอร่อยจาก 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ มาให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลองแบบอร่อยซ่ายกกรุง ในช่วงเดือนกรกฎาคม กิจกรรมฉลอง 50 ปี ไทยน้ำทิพย์ ในช่วงเดือนสิงหาคม
ล่าสุดเดือนตุลาคมยังได้ออกแคมเปญ "โอเพ่น แฮปปี้เนส" ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลก ที่โคคา-โคลาในแต่ละประเทศร่วมส่งความสุขผ่านเสียงเพลงไปยังทุกคนผ่านศิลปิน ซึ่งในประเทศไทยได้เลือกศิลปินวงแทททู คัลเลอร์ ผ่านเพลงไทยแลนด์ โอเพ่น
พร้อมเตรียมจัดมหกรรมดนตรี "โค้กซ่า เฟสติวัล 2009" กับศิลปิน 13 วง ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ ที่ลานมอเตอร์สปอร์ตแลนด์ ซึ่งเป็นแคมเปญที่ต่อเนื่องมาจาก "เปิดโค้กซ่า เปิดความสุข" ซึ่งเป็นโกบอลแคมเปญก่อนหน้านั้น ว่ากันว่า แค่แคมเปญนี้แคมเปญเดียว โค้กใช้งบฯโฆษณาและการตลาดไปถึง 75 ล้านบาทเลยทีเดียว
แนวโน้มอัดกันแรงขนาดนี้ เสียงคนโฆษณาส่วนใหญ่จึงเชื่อกันว่า ธุรกิจโฆษณาโดยรวมในปีนี้น่าจะรักษาสถานภาพให้อยู่ในภาวะเอาตัวรอดได้ ...หรือหากติดลบ ก็ไม่น่าหนักอย่างที่คาดการณ์กันไว้เมื่อต้นปี
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
http://www.cokethai.com/forum/viewtopic.php?f=5&t=754
Coca-cola 1 ใน 12แบรด์ดังพลาดท่า บทเรียนการตลาดที่ล้มเหลว
การผลิตสินค้าที่ตลาดไม่ต้องการ จนถึงไม่ประเมินจุดเด่นของตัวเอง ทำให้ทั้งแป๊บซี่ และ แมคโดนัลด์ ตายน้ำตื้น “แอปเปิ้ล” หนักสุดต้องม้วนเสื่อสินค้าออกไปถึง 4 รายการ วิธีการที่นักการตลาดใช้ในการเรียนรู้แนวทางในการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งเป็นวิธีการทางลัดทางหนึ่งก็คือ การศึกษาบทเรียนจากผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวในตลาดโลก และแทบไม่น่าเชื่อว่า บทเรียนเหล่านี้จำนวนไม่น้อยทีเดียวที่มาจากแบรนด์ดังๆ นั่นหมายความว่า แม้แต่แบรนด์ดังๆ ก็ยังต้องลองผิดลองถูกหลายครั้ง กว่าจะค้นพบว่าผลิตภัณฑ์แบบไหนที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง
ในบรรดาแบรนด์ชั้นนำที่อยู่ในรายชื่อ ท็อป 10 ของผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวได้แก่
รายแรก“นิวโค้ก”(NewCoke)
การออกนิวโค้กมาจำหน่ายในตลาดโลกแล้วล้มเหลวดูเหมือนจะติดอยู่ในรายการผลิตภัณฑ์ยอดแย่ ที่นักการตลาดนึกถึงกันเป็นอันดับต้นๆของโลกทีเดียว สิ่งที่นักการตลาดกล่าวขวัญกันมากในกรณีของ “นิว โค้ก” ก็คือ ชื่อของเวอร์ชั่นนี้ของโค้กไม่ได้ช่วยสื่ออะไรที่จะสามารถสร้าง
ความประทับใจให้กับตลาดเลย และไม่น่าเชื่อว่าจะคิดโดยยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มน้ำอัดลมอย่างโค้ก นอกจากนั้น “นิว โค้ก” ยังบอกไม่ได้
ชัดเจนว่า “นิว” ยังไง ในเมื่อคลาสสิก โค้กก็ยังคงเป็นที่สนใจและเป็นที่พอใจของตลาดโลกอยู่ในระดับสุดยอดอยู่แล้ว แถมรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก “คลาสิก โค้ก” ยกเว้นแต่มีคำว่า “NEW” เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ที่น่ากล่าวถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเปิดตัว “นิว โค้ก” ดังกล่าวมีบิลคอสบี้มาช่วยโปรโมตด้วยซ้ำแต่ก็ยังไปไม่รอดอยู่ดี
รายที่สองคริสตัลเป๊ปซี่
กรณีของเป๊ปซี่ก็ไม่ได้น้อยหน้าคู่แข่งขันอย่างโคคา-โคล่าเหมือนกัน เพราะเป๊ปซี่ก็มี “คริสตัล เป๊ปซี่” ที่ถือว่าประสบความล้มเหลวทางการตลาดเหมือนกัน คริสตัล เป๊ปซี่อาจจะเริ่มต้นแตกต่างจากนิว โค้กเล็กน้อย คือ ในระยะแรกๆ ที่เปิดตัวในตลาด ดูเหมือนคริสตัล เป๊ปซี่จะทำท่าไปได้ดีมีกำลังในการขับเคลื่อนยอดขายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ในที่สุดก็เจอกับปัญหาในลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นกับนิวโค้ก นักการตลาดมองว่าลูกค้ามีความสงสัยและหาคำตอบไม่ได้ว่า ในเมื่อเรกูล่าเป๊ปซี่ยังคงขายดี ยังพอใจ แล้วมีเหตุผลกลใดจึงต้องมีการเปิดตัวเครื่องดื่มที่มีรสชาติใกล้เคียงเดียวกันออกมา ในเวอร์ชั่นของคาเฟอีน-ฟรี ที่เรียกว่า “เคลียร์ เป๊ปซี่” ออกมา พูดง่ายๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสองมีความผิดพลาดเหมือนกันตรงที่ตัดสินใจผลิตและเปิดตัวสินค้าที่ไม่มีตลาดรองรับ หรือตลาดไม่ต้องการ สิ่งที่เป๊ปซี่คิดเอาเองคือ คริสตัล เป๊ปซี่จะเป็นคำตอบของลูกค้ากลุ่มนิช (Niche) ที่ (1) ไม่ชอบดื่มโซดาที่เป็นสีดำ (2) ไม่ชอบเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แต่ผลที่ออกมาพิสูจน์ว่าลูกค้าของเป๊ปซี่ไม่ได้แคร์ทั้ง 2ประเด็นแม้แต่น้อย
รายที่สามแมคโดนัลด์อาร์ชเดอลุกซ์เบอร์เกอร์(ArchDeluxBurger)
นี่ก็เป็นยักษ์ใหญ่อีกรายในวงการอาหารฟาสต์ฟูดส์โลกที่นักการตลาดหลายคนวิจารณ์ว่าเป็นอีกรายที่ตายน้ำตื้น อย่างนึกไม่ถึง จุดมุ่งหมาย
หลักของการเปิดตัว อาร์ช เดอลุกซ์ เบอร์เกอร์มาจากแนวความคิดว่าอยากจะหาผลิตภัณฑ์คุณภาพดี ทำจากส่วนผสมชั้นดีกว่าเบอร์เกอร์ทั่วไป เพื่อเอาไว้เสิร์ฟลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่ และหวังว่าด้วยคุณภาพสินค้าที่ดีกว่าอาหารขยะทั่วไปของแมคโดนัลด์จะทำให้สามารถคิดราคาแพงขึ้นและทำกำไรได้ดีขึ้น ข้อผิดพลาดสำคัญของกลยุทธ์การตลาดดังกล่าวก็คือ แมคโดนัลด์มีความสามารถและความได้เปรียบ ตลอดจนมีความถนัดในการจับตลาดของอาหารขยะ ราคาถูก และไม่พิถีพิถันมากนักอยู่แล้ว ก็ควรจะเน้นธุรกิจส่วนที่ตนมีคุณภาพสูงไปหากินที่อื่น ความล้มเหลวของแมคโดนัลด์คือล้ำเส้นออกไปทำตลาดในส่วนที่ไม่ใช่ตลาดของตนเองจนเจ็บตัวในที่สุด
รายที่สี่โพลารอยด์อินสแตนท์ฟิล์ม
เมื่อนึกถึงแบรนด์โพลารอยส์ลูกค้าก็จะนึกถึงกล้องถ่ายรูปที่สามารถเห็นภาพผลงานการถ่ายได้ในเวลาไม่นาน แต่ก็อีกนั่นแหละ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่ชอบวิธีการถ่ายภาพแบบโพลารอยด์ เกลียดการยืนสลัดกระดาษเพื่อให้ผลงานการถ่ายภาพ ปรากฏบนกระดาษโดเร็วและอยากได้วิธีอื่นที่จะเห็นผลงานของการถ่ายภาพได้ ผู้บริหารของโพลารอยด์คงไม่คิดอย่างนั้นเหมือนกัน จึงพยายามเอาใจกลุ่มคนที่ชอบการถ่ายรูปแบบเห็นภาพผลงานเลยด้วยการตัดสินใจผลิตภัณฑ์ทีเป็นอินสแตนท์ฟิล์มที่พัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัย อย่างไรก็ตาม รูปภาพที่ถ่ายจากระบบอินสแตนท์ ฟิล์มต้องประสบกับความล้มเหลว ไม่ใช่เพราะสิ่งที่โพลารอยด์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น หากแต่เป็นเพราะเกิดระบดิจิตอลที่ทำให้ผู้ถ่ายเห็นภาพผลงานของการถ่ายได้ทันทีกว่า โดยยังไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเหมือนอินสแตนด์ ฟิล์ม จนทำให้โพลารอยด์ต้อปิดธุรกิจด้านนี้ไปในที่สุด
รายที่ห้าลีวายไทป์วันยีนส์(Levi’sType1Jeans)
โดยชื่อของแบรนด์ลีวาย เป็นแบรนด์สินค้ายีนส์ที่ขายได้ในตลาดโลกอยู่แล้ว เพราะความเชื่อถือของลูกค้าที่มีต่อคุณภาพของยีนส์ และระดับราคาสินค้าที่แพงไปจนถึงแพงมากแต่จอมยุทธ์อย่างลีวายก็มีวันล้มเหลวกับเขาเหมือนกัน สินค้าของลีวายที่อยู่ในข่ายล้มเหลว คือ Type 1Jeans และนักการตลาดประเมินกันว่า ต้นเหตุสำคัญของความล้มเหลวครั้งนี้คือ เนื้อหาของงานโฆษณาของสินค้านั่นเองที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เนื้อหาหลักของงานโฆษณาชิ้นนี้คือ ภาพที่มีผู้ชายคนหนึ่งในใส่ยีนส์ Type 1 ของลีวาย ท่ามกลางฝุ่นและความสกปรกเกาะอยู่บนหลังคารถยนต์ที่กระโดดไปมาในลักษณะท่าทางของม้าพยศ ประเด็นที่นำมาซึ่งความล้มเหลวของยีนส์รุ่นนี้ของลีวายก็คือ ลูกค้าอยากซื้อยีนส์ที่ดูสกปรกและมีฝุ่นจับหนาเตอะไปทำไม และสุดที่พยศเหมือนการขี่ม้าพยศ แบบควบคุมไม่ได้ ไม่ได้ให้ความหมายใดที่จสื่อถึงความเป็นตัวตนของยีนส์Type1ที่ว่านี้แม้แต่น้อย มีการวิจารณ์กันว่า หากผลงานโฆษณาออกมาในแนวคลาสิกกว่านี้หน่อยก็คงไม่ทำให้ลูกค้าตีความและจินตนาการไปเองจนทำให้สินค้าต้องล้มเหลวในที่สุดแบบนี้
รายที่หกฟอร์ดรุ่นเอ็ดเซล(FordEdsel)
แม้ว่ารถฟอร์ดรุ่นนี้จะออกมาวางตลาดหลายปีแล้ว แต่ในวงการตลาดก็ยังคงกล่าวถึงกัน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในตำนานของความล้มเหลวทางการตลาดของฟอร์ดที่เป็นต้นแบบได้เลย ฟอร์ด เอ็ดเซลออกมาวางจำหน่ายในช่วงปี 1958 และไม่สามารถทำให้สินค้ารุ่นนี้ทำเงินให้กับฟอร์ดตามที่มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่ากันว่าความล้มเหลวของฟอร์ดเอ็ดเซลมาจากปัจจัยถึง3ประเภทหลักคือ
(1)รูปลักษณ์ของกระจังหน้ารถที่ลูกค้าบอกว่าน่าเกลียดไม่สะดุดตาหรือชวนมอง
(2)ชื่อของ“เอ็ดเซล”ที่ไม่ได้ช่วยสื่อความหมายใดๆที่จะช่วยสนุบสนุนในรถยนต์รุ่นนี้ประสบความสำเร็จได้
(3)กลยุทธ์การกำหนดราคาที่ไม่เหมาะสมทำให้รถยนต์ฟอร์ดเอ็ดเซลกลายเป็นรถที่ขายไม่ออก
รายที่เจ็ดไอบีเอ็มพีซีเจอาร์(IBMPCjr)
หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อของ ไอบีเอ็ม พีซีเจอาร์ แต่สินค้าที่ว่านี้เป็นคอมพิวเตอร์พีซีรุ่นแรกที่ผู้บริหารของไอบีเอ็มพยายามจะขยาฐานทางธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ ไปยังส่วนของตลาดคอมพิวเตอร์ราคาถูกเพื่อการใช้งานภายในครัวเรือน มากกว่าการใช้งานตามสำนักงานในบริษัทห้างร้านต่างๆ จุดตายของเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีรุ่นนี้อยู่ที่คีย์บอร์ดของเครื่อง ซึ่งไอบีเอ็มออกแบบมาเป็นอุปกรณ์ไวร์เลสหรือไร้สาย ซึ่งใกล้เคียงกับแป้นของเครื่องคำนวณพกพา แต่จริงๆ กลับใช้งานในการพิมพ์ไม่สะดวกเลย เพราะเนื้อที่ว่างระหว่างปุ่มกดบนคีย์บอร์ดแต่ละปุ่มห่างจากกันมากเกินไป และมีเพียง 62 ปุ่มที่ใช้งานได้เพราะไอบีเอ็มได้ตัดแป้นส่วนที่เป็นตัวเลขออกไปแย่ยิ่งกว่านั้น คือ ลูกค้าจำนวนไม่น้อยมองว่าสินค้ารุ่นนี้ของไอบีเอ็มเป็นสินค้าเกรดต่ำ ในขณะที่ระดับราคาแพงกว่าถึง 2 เท่า เทียบกับคอมพิวเตอร์ครอบครัวขนาด 8 บิทของอาตาริ หรือคอมพิวเตอร์คอมโมดอร์ 64 ทำให้คอมพิวเตอร์พีซีรุ่นนี้ของไอบีเอ็มเจาะตลาดระดับครอบครัวไม่ได้ แม้ว่าในเวลาต่อมาไอบีเอ็มจะตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการแจกฟรีคีย์บอร์ดไร้สายใหม่ที่ใช้งานสะดวกขึ้น และรูปแบบรายละเอียดเหมือนคีย์บอร์ดทั่วไปก็ไม่อาจจะช่วยแก้ไขให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้นแต่อย่างใด
รายที่แปดโซนี่เบต้าแมกซ์(SonyBetamax)
โซนี่เป็นต้นแบบของบริษัทที่มีความพยายามเป็นเลิศด้านการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยี จนทำให้วิทยุวอล์คแมนเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่าหนึ่งของวงการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของโลกมาจนถึงทุกวันนี้ การที่ต้องเป็นผู้บุกเบิกตลาด ทำให้โซนี่มีต้นทุนของการพัฒนาความคิดทางเทคโนโลยีสู่สินค้าในเชิพาณิชย์ที่สูงกว่าบริษัทอื่นๆ เพราะต้องทำให้บริษัทที่เหลือยอมรับและทำให้โซนี่มีส่วนครองตลาดมากที่สุดไปพร้อมๆกัน โซนี่ เบต้าแมกซ์เป็นสินค้าประเภทเครื่องเล่นเทปที่ถือว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมของโซนี่ และสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการไม่น้อย เพราะเป็นการพัฒนาระบบที่เรียกว่า VHS ขึ้นมาใช้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโซนี่เบต้าแมกซขึ้นอยู่กับการที่ระบบ VHS จะต้องได้รับการยอมรับในด้านการพัฒนาต่อด้วยซึ่งถ้าทำได้โซนี่ก็จะกลายเป็นผู้กำหนดมาตรฐานของตลาดทันที ช่วงแรกกลยุทธ์ทางการตลาดดังกล่าวทำท่าว่าจะไปได้สวย เพราะระบบ VHS มีส่วนครองตลาดถึง 70% ของตลาดในอเมริกาเหนือ แต่ในปี 1984 บริษัทต่างๆ กว่า 40 แห่ง ได้เปลี่ยนใจไปยอมรับ
มาตรฐานของระบบVCRแทนทำให้โซนี่เบต้าแมกซ์ต้องอำลาการตลาดตลอดกาลมาตั้งแต่ปี1988
รายที่เก้าแอ๊ปเปิ้ลลิซ่า(AppleLisa)
วงการตลาดต่างพากันชื่อชมแนวคิดของบริษัทแอ๊ปเปิ้ลในการเป็นนักบุกเบิกสินค้าใหม่ๆ ในตลาดอีกรายหนึ่ง ไม้แพ้บริษัทโซนี่ด้วยเหตุนี้ การคิดค้นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของแอ๊ปเปิ้ล ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ลิซ่า จึงเป็นส่วนหนึ่งในสินค้าที่มหัศจรรย์ของวงการคอมพิวเตอร์และดูเหมือนว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีการใช้ GUI การใช้เมาส์ในการทำงานหน้าจอเพื่อนำเอาเมนูต่างๆ มาใช้งานดังนั้น การคิดค้นคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ขึ้นมาจึงไม่ใช่จุดที่นำความล้มเหลวมาให้กับบริษัท แอ๊ปเปิ้ล แต่จุดที่ผิดพลาดคือ การที่แอ๊ปเปิ้ลเชื่อว่าสินค้าประเภทนี้จะมีคนต้องการซื้อ เพราะในสภาพความเป็นจริงระดับราคาของคอมพิวเตอร์ แอ๊ปเปิ้ลลิซ่า แพงหูฉี่ แลสูงเกินกว่าที่ลูกค้าจะแบกรับภาระได้จึงทำให้งานการตลาดล้มเหลวในที่สุด
รายที่สิบแอ๊ปเปิ้ลปิ๊ปปิ้น(ApplePippin)
แอ๊ปเปิ้ลติดอันดับกิจการที่มีสินค้าในกลุ่มล้มเหลวถึง 4 รายการ โดยแอ๊ปเปิ้ล ปิ๊ปปิ้นเป็นสินค้ารายการที่สองในทั้งหมด 4 รายการ ที่ถูโหวต
ให้เป็นสินค้ายอดแย่ตลอดการในด้านไฮเทค หลายคนอาจจะนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่า สินค้าที่เรียกกันว่า “แอ๊ปเปิ้ล ปิ๊ปปิ้น” คือสินค้าอะไร ทั้งนี้เพราะว่าสินค้าประเภทนี้เป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ จนบอกไม่ได้ชัดเจน จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ไม่ใช่ เครื่องเล่นเกมส์ก็ไม่เชิงด้วยความที่ลูกค้าเป้าหมายไม่ชัดเจนในความเป็นตัวตนของสินค้าตัวนี้ในช่วงนั้น ขณะที่ราคาจำหน่ายของสินค้าที่ 599 ดอลล่าร์ ควรจะเป็นราคาที่ยอมรับได้หากมีความชัดเจนว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เป็นราคาที่แพงเกินไปและยอมรับไม่ได้แน่นอน หากว่าเป็นเพียงเครื่องเล่นเกมอย่างเดียว ที่แย่ก็คือ ในการดำเนินงานทางการตลาดที่ไม่ชัดเจน ทำให้ลูกค้าเป้าหมายมองว่า “แอ๊ปเปิ้ล ปิ๊ปปิ้น” เป็นเพียงเครื่องเล่นเกมเท่านั้นจึงทำให้ตัวสินค้าดังกล่าวประสบความล้มเหลวในที่สุด ยิ่งลูกค้ามีสินค้าประเภทเครื่องเล่นเกมยี่ห้ออื่นมาเปรียบเทียบและดูดีเหนือกว่าอย่างมากอย่างเช่น นินเทนโด เพลสเตชั่นของโซนี่ หรือสินค้าของเซก้า ก็เลยทำให้สินค้าของแอ๊ปเปิ้ลฉุดไม่ขึ้น
รายที่11อุปกรณ์ของแมคอินทอชพกพา(MacintoshPortable)
สินค้าตัวนี้ของแอ๊ปเปิ้ลมีวิถีทางที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในทางการตลาดที่แตกต่างจาก แอ๊ปเปิ้ล ปิ๊ปปิ้น และเป็นอีกหนึ่งในสินค้าที่ตายน้ำตื้นอย่างน่าเสียดาย จุดพกพร่องที่ทำให้ลูกค้าเป้าหมายยอมรับไม่ได้กับแมคอินทอช พกพาก็คือการที่แอ๊ปเปิ้ลนำเอาคำว่า “พกกา” หรือ“Portable”มาเป็นชื่อเรียกสินค้าประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ของตน สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชที่ว่านี้ มีสภาพของกายภาพสินค้าที่สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้จริงหรือเปล่า ความคาดหวังของผู้บริโภคก็คือ ตนจะต้องสามารถหิ้วเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชที่ว่านี้ไปไหนมาไหนได้หากไม่เป็นไปตามนั้นก็คงยอมรับคำว่า“Portable”ที่ติดห้อยมากับสินค้าไม่ได้ บทเรียนที่มีค่าคราวนี้คือ ต้องระมัดระวังอย่าเอาคำว่า“Portable”มาใช้แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
รายที่12แทคอินทอชทีวี(MacintoshTV)
เป็นอีกหนึ่งในความพยายามของบริษัทแอ๊ปเปิ้ลที่จะรวมความเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับความเป็นโทรทัศน์ ซึ่งนับเป็นความคิดที่ดีและน่าชื่นชมและดูเหมือนตลาดก็คาดหวังและมีความต้องการสินค้าประเภทนี้อยู่ด้วย ความล้มเหลวของแมคอินทอช ทีวี ก็คือ ระดับความก้าวหน้าและทันสมัยทางเทคโนโลยีในช่วงปี 1993 ดูเหมือนว่ายังไปไม่ถึงดวงดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนั้น ผู้คนยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชมรายการทางโทรทัศน์มาดูผ่านจอขนาด 14 นิ้ว และชอบดูทีวีที่มีจอใหญ่ๆ มากขึ้นมากกว่าด้วยเหตุนี้จอโทรทัศน์ขนาด 40 หรือ 50 นิ้วจึงขายดีกว่าจอขนาดจิ๋วของแทคอินทอช และผู้คนไม่เห็นความจำเป็นต้องซื้อแมคอินทอชทีวี เพื่อดูรายการทางทีวีทั้งยังเห็นว่าเป็นการเสียเงินโดยไม่คุ้มค่า ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ลูกค้าเป้าหมายมองยังไงๆ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม ก็ยังเห็นว่าแมคอินทอช ทีวี เป็นเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์ทีวีธรรมดาๆ เท่านั้น
ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์
ในบรรดาแบรนด์ชั้นนำที่อยู่ในรายชื่อ ท็อป 10 ของผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวได้แก่
รายแรก“นิวโค้ก”(NewCoke)
การออกนิวโค้กมาจำหน่ายในตลาดโลกแล้วล้มเหลวดูเหมือนจะติดอยู่ในรายการผลิตภัณฑ์ยอดแย่ ที่นักการตลาดนึกถึงกันเป็นอันดับต้นๆของโลกทีเดียว สิ่งที่นักการตลาดกล่าวขวัญกันมากในกรณีของ “นิว โค้ก” ก็คือ ชื่อของเวอร์ชั่นนี้ของโค้กไม่ได้ช่วยสื่ออะไรที่จะสามารถสร้าง
ความประทับใจให้กับตลาดเลย และไม่น่าเชื่อว่าจะคิดโดยยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มน้ำอัดลมอย่างโค้ก นอกจากนั้น “นิว โค้ก” ยังบอกไม่ได้
ชัดเจนว่า “นิว” ยังไง ในเมื่อคลาสสิก โค้กก็ยังคงเป็นที่สนใจและเป็นที่พอใจของตลาดโลกอยู่ในระดับสุดยอดอยู่แล้ว แถมรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก “คลาสิก โค้ก” ยกเว้นแต่มีคำว่า “NEW” เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ที่น่ากล่าวถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเปิดตัว “นิว โค้ก” ดังกล่าวมีบิลคอสบี้มาช่วยโปรโมตด้วยซ้ำแต่ก็ยังไปไม่รอดอยู่ดี
รายที่สองคริสตัลเป๊ปซี่
กรณีของเป๊ปซี่ก็ไม่ได้น้อยหน้าคู่แข่งขันอย่างโคคา-โคล่าเหมือนกัน เพราะเป๊ปซี่ก็มี “คริสตัล เป๊ปซี่” ที่ถือว่าประสบความล้มเหลวทางการตลาดเหมือนกัน คริสตัล เป๊ปซี่อาจจะเริ่มต้นแตกต่างจากนิว โค้กเล็กน้อย คือ ในระยะแรกๆ ที่เปิดตัวในตลาด ดูเหมือนคริสตัล เป๊ปซี่จะทำท่าไปได้ดีมีกำลังในการขับเคลื่อนยอดขายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ในที่สุดก็เจอกับปัญหาในลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นกับนิวโค้ก นักการตลาดมองว่าลูกค้ามีความสงสัยและหาคำตอบไม่ได้ว่า ในเมื่อเรกูล่าเป๊ปซี่ยังคงขายดี ยังพอใจ แล้วมีเหตุผลกลใดจึงต้องมีการเปิดตัวเครื่องดื่มที่มีรสชาติใกล้เคียงเดียวกันออกมา ในเวอร์ชั่นของคาเฟอีน-ฟรี ที่เรียกว่า “เคลียร์ เป๊ปซี่” ออกมา พูดง่ายๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสองมีความผิดพลาดเหมือนกันตรงที่ตัดสินใจผลิตและเปิดตัวสินค้าที่ไม่มีตลาดรองรับ หรือตลาดไม่ต้องการ สิ่งที่เป๊ปซี่คิดเอาเองคือ คริสตัล เป๊ปซี่จะเป็นคำตอบของลูกค้ากลุ่มนิช (Niche) ที่ (1) ไม่ชอบดื่มโซดาที่เป็นสีดำ (2) ไม่ชอบเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แต่ผลที่ออกมาพิสูจน์ว่าลูกค้าของเป๊ปซี่ไม่ได้แคร์ทั้ง 2ประเด็นแม้แต่น้อย
รายที่สามแมคโดนัลด์อาร์ชเดอลุกซ์เบอร์เกอร์(ArchDeluxBurger)
นี่ก็เป็นยักษ์ใหญ่อีกรายในวงการอาหารฟาสต์ฟูดส์โลกที่นักการตลาดหลายคนวิจารณ์ว่าเป็นอีกรายที่ตายน้ำตื้น อย่างนึกไม่ถึง จุดมุ่งหมาย
หลักของการเปิดตัว อาร์ช เดอลุกซ์ เบอร์เกอร์มาจากแนวความคิดว่าอยากจะหาผลิตภัณฑ์คุณภาพดี ทำจากส่วนผสมชั้นดีกว่าเบอร์เกอร์ทั่วไป เพื่อเอาไว้เสิร์ฟลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่ และหวังว่าด้วยคุณภาพสินค้าที่ดีกว่าอาหารขยะทั่วไปของแมคโดนัลด์จะทำให้สามารถคิดราคาแพงขึ้นและทำกำไรได้ดีขึ้น ข้อผิดพลาดสำคัญของกลยุทธ์การตลาดดังกล่าวก็คือ แมคโดนัลด์มีความสามารถและความได้เปรียบ ตลอดจนมีความถนัดในการจับตลาดของอาหารขยะ ราคาถูก และไม่พิถีพิถันมากนักอยู่แล้ว ก็ควรจะเน้นธุรกิจส่วนที่ตนมีคุณภาพสูงไปหากินที่อื่น ความล้มเหลวของแมคโดนัลด์คือล้ำเส้นออกไปทำตลาดในส่วนที่ไม่ใช่ตลาดของตนเองจนเจ็บตัวในที่สุด
รายที่สี่โพลารอยด์อินสแตนท์ฟิล์ม
เมื่อนึกถึงแบรนด์โพลารอยส์ลูกค้าก็จะนึกถึงกล้องถ่ายรูปที่สามารถเห็นภาพผลงานการถ่ายได้ในเวลาไม่นาน แต่ก็อีกนั่นแหละ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่ชอบวิธีการถ่ายภาพแบบโพลารอยด์ เกลียดการยืนสลัดกระดาษเพื่อให้ผลงานการถ่ายภาพ ปรากฏบนกระดาษโดเร็วและอยากได้วิธีอื่นที่จะเห็นผลงานของการถ่ายภาพได้ ผู้บริหารของโพลารอยด์คงไม่คิดอย่างนั้นเหมือนกัน จึงพยายามเอาใจกลุ่มคนที่ชอบการถ่ายรูปแบบเห็นภาพผลงานเลยด้วยการตัดสินใจผลิตภัณฑ์ทีเป็นอินสแตนท์ฟิล์มที่พัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัย อย่างไรก็ตาม รูปภาพที่ถ่ายจากระบบอินสแตนท์ ฟิล์มต้องประสบกับความล้มเหลว ไม่ใช่เพราะสิ่งที่โพลารอยด์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น หากแต่เป็นเพราะเกิดระบดิจิตอลที่ทำให้ผู้ถ่ายเห็นภาพผลงานของการถ่ายได้ทันทีกว่า โดยยังไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเหมือนอินสแตนด์ ฟิล์ม จนทำให้โพลารอยด์ต้อปิดธุรกิจด้านนี้ไปในที่สุด
รายที่ห้าลีวายไทป์วันยีนส์(Levi’sType1Jeans)
โดยชื่อของแบรนด์ลีวาย เป็นแบรนด์สินค้ายีนส์ที่ขายได้ในตลาดโลกอยู่แล้ว เพราะความเชื่อถือของลูกค้าที่มีต่อคุณภาพของยีนส์ และระดับราคาสินค้าที่แพงไปจนถึงแพงมากแต่จอมยุทธ์อย่างลีวายก็มีวันล้มเหลวกับเขาเหมือนกัน สินค้าของลีวายที่อยู่ในข่ายล้มเหลว คือ Type 1Jeans และนักการตลาดประเมินกันว่า ต้นเหตุสำคัญของความล้มเหลวครั้งนี้คือ เนื้อหาของงานโฆษณาของสินค้านั่นเองที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เนื้อหาหลักของงานโฆษณาชิ้นนี้คือ ภาพที่มีผู้ชายคนหนึ่งในใส่ยีนส์ Type 1 ของลีวาย ท่ามกลางฝุ่นและความสกปรกเกาะอยู่บนหลังคารถยนต์ที่กระโดดไปมาในลักษณะท่าทางของม้าพยศ ประเด็นที่นำมาซึ่งความล้มเหลวของยีนส์รุ่นนี้ของลีวายก็คือ ลูกค้าอยากซื้อยีนส์ที่ดูสกปรกและมีฝุ่นจับหนาเตอะไปทำไม และสุดที่พยศเหมือนการขี่ม้าพยศ แบบควบคุมไม่ได้ ไม่ได้ให้ความหมายใดที่จสื่อถึงความเป็นตัวตนของยีนส์Type1ที่ว่านี้แม้แต่น้อย มีการวิจารณ์กันว่า หากผลงานโฆษณาออกมาในแนวคลาสิกกว่านี้หน่อยก็คงไม่ทำให้ลูกค้าตีความและจินตนาการไปเองจนทำให้สินค้าต้องล้มเหลวในที่สุดแบบนี้
รายที่หกฟอร์ดรุ่นเอ็ดเซล(FordEdsel)
แม้ว่ารถฟอร์ดรุ่นนี้จะออกมาวางตลาดหลายปีแล้ว แต่ในวงการตลาดก็ยังคงกล่าวถึงกัน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในตำนานของความล้มเหลวทางการตลาดของฟอร์ดที่เป็นต้นแบบได้เลย ฟอร์ด เอ็ดเซลออกมาวางจำหน่ายในช่วงปี 1958 และไม่สามารถทำให้สินค้ารุ่นนี้ทำเงินให้กับฟอร์ดตามที่มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่ากันว่าความล้มเหลวของฟอร์ดเอ็ดเซลมาจากปัจจัยถึง3ประเภทหลักคือ
(1)รูปลักษณ์ของกระจังหน้ารถที่ลูกค้าบอกว่าน่าเกลียดไม่สะดุดตาหรือชวนมอง
(2)ชื่อของ“เอ็ดเซล”ที่ไม่ได้ช่วยสื่อความหมายใดๆที่จะช่วยสนุบสนุนในรถยนต์รุ่นนี้ประสบความสำเร็จได้
(3)กลยุทธ์การกำหนดราคาที่ไม่เหมาะสมทำให้รถยนต์ฟอร์ดเอ็ดเซลกลายเป็นรถที่ขายไม่ออก
รายที่เจ็ดไอบีเอ็มพีซีเจอาร์(IBMPCjr)
หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อของ ไอบีเอ็ม พีซีเจอาร์ แต่สินค้าที่ว่านี้เป็นคอมพิวเตอร์พีซีรุ่นแรกที่ผู้บริหารของไอบีเอ็มพยายามจะขยาฐานทางธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ ไปยังส่วนของตลาดคอมพิวเตอร์ราคาถูกเพื่อการใช้งานภายในครัวเรือน มากกว่าการใช้งานตามสำนักงานในบริษัทห้างร้านต่างๆ จุดตายของเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีรุ่นนี้อยู่ที่คีย์บอร์ดของเครื่อง ซึ่งไอบีเอ็มออกแบบมาเป็นอุปกรณ์ไวร์เลสหรือไร้สาย ซึ่งใกล้เคียงกับแป้นของเครื่องคำนวณพกพา แต่จริงๆ กลับใช้งานในการพิมพ์ไม่สะดวกเลย เพราะเนื้อที่ว่างระหว่างปุ่มกดบนคีย์บอร์ดแต่ละปุ่มห่างจากกันมากเกินไป และมีเพียง 62 ปุ่มที่ใช้งานได้เพราะไอบีเอ็มได้ตัดแป้นส่วนที่เป็นตัวเลขออกไปแย่ยิ่งกว่านั้น คือ ลูกค้าจำนวนไม่น้อยมองว่าสินค้ารุ่นนี้ของไอบีเอ็มเป็นสินค้าเกรดต่ำ ในขณะที่ระดับราคาแพงกว่าถึง 2 เท่า เทียบกับคอมพิวเตอร์ครอบครัวขนาด 8 บิทของอาตาริ หรือคอมพิวเตอร์คอมโมดอร์ 64 ทำให้คอมพิวเตอร์พีซีรุ่นนี้ของไอบีเอ็มเจาะตลาดระดับครอบครัวไม่ได้ แม้ว่าในเวลาต่อมาไอบีเอ็มจะตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการแจกฟรีคีย์บอร์ดไร้สายใหม่ที่ใช้งานสะดวกขึ้น และรูปแบบรายละเอียดเหมือนคีย์บอร์ดทั่วไปก็ไม่อาจจะช่วยแก้ไขให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้นแต่อย่างใด
รายที่แปดโซนี่เบต้าแมกซ์(SonyBetamax)
โซนี่เป็นต้นแบบของบริษัทที่มีความพยายามเป็นเลิศด้านการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยี จนทำให้วิทยุวอล์คแมนเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่าหนึ่งของวงการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของโลกมาจนถึงทุกวันนี้ การที่ต้องเป็นผู้บุกเบิกตลาด ทำให้โซนี่มีต้นทุนของการพัฒนาความคิดทางเทคโนโลยีสู่สินค้าในเชิพาณิชย์ที่สูงกว่าบริษัทอื่นๆ เพราะต้องทำให้บริษัทที่เหลือยอมรับและทำให้โซนี่มีส่วนครองตลาดมากที่สุดไปพร้อมๆกัน โซนี่ เบต้าแมกซ์เป็นสินค้าประเภทเครื่องเล่นเทปที่ถือว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมของโซนี่ และสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการไม่น้อย เพราะเป็นการพัฒนาระบบที่เรียกว่า VHS ขึ้นมาใช้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโซนี่เบต้าแมกซขึ้นอยู่กับการที่ระบบ VHS จะต้องได้รับการยอมรับในด้านการพัฒนาต่อด้วยซึ่งถ้าทำได้โซนี่ก็จะกลายเป็นผู้กำหนดมาตรฐานของตลาดทันที ช่วงแรกกลยุทธ์ทางการตลาดดังกล่าวทำท่าว่าจะไปได้สวย เพราะระบบ VHS มีส่วนครองตลาดถึง 70% ของตลาดในอเมริกาเหนือ แต่ในปี 1984 บริษัทต่างๆ กว่า 40 แห่ง ได้เปลี่ยนใจไปยอมรับ
มาตรฐานของระบบVCRแทนทำให้โซนี่เบต้าแมกซ์ต้องอำลาการตลาดตลอดกาลมาตั้งแต่ปี1988
รายที่เก้าแอ๊ปเปิ้ลลิซ่า(AppleLisa)
วงการตลาดต่างพากันชื่อชมแนวคิดของบริษัทแอ๊ปเปิ้ลในการเป็นนักบุกเบิกสินค้าใหม่ๆ ในตลาดอีกรายหนึ่ง ไม้แพ้บริษัทโซนี่ด้วยเหตุนี้ การคิดค้นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของแอ๊ปเปิ้ล ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ลิซ่า จึงเป็นส่วนหนึ่งในสินค้าที่มหัศจรรย์ของวงการคอมพิวเตอร์และดูเหมือนว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีการใช้ GUI การใช้เมาส์ในการทำงานหน้าจอเพื่อนำเอาเมนูต่างๆ มาใช้งานดังนั้น การคิดค้นคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ขึ้นมาจึงไม่ใช่จุดที่นำความล้มเหลวมาให้กับบริษัท แอ๊ปเปิ้ล แต่จุดที่ผิดพลาดคือ การที่แอ๊ปเปิ้ลเชื่อว่าสินค้าประเภทนี้จะมีคนต้องการซื้อ เพราะในสภาพความเป็นจริงระดับราคาของคอมพิวเตอร์ แอ๊ปเปิ้ลลิซ่า แพงหูฉี่ แลสูงเกินกว่าที่ลูกค้าจะแบกรับภาระได้จึงทำให้งานการตลาดล้มเหลวในที่สุด
รายที่สิบแอ๊ปเปิ้ลปิ๊ปปิ้น(ApplePippin)
แอ๊ปเปิ้ลติดอันดับกิจการที่มีสินค้าในกลุ่มล้มเหลวถึง 4 รายการ โดยแอ๊ปเปิ้ล ปิ๊ปปิ้นเป็นสินค้ารายการที่สองในทั้งหมด 4 รายการ ที่ถูโหวต
ให้เป็นสินค้ายอดแย่ตลอดการในด้านไฮเทค หลายคนอาจจะนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่า สินค้าที่เรียกกันว่า “แอ๊ปเปิ้ล ปิ๊ปปิ้น” คือสินค้าอะไร ทั้งนี้เพราะว่าสินค้าประเภทนี้เป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ จนบอกไม่ได้ชัดเจน จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ไม่ใช่ เครื่องเล่นเกมส์ก็ไม่เชิงด้วยความที่ลูกค้าเป้าหมายไม่ชัดเจนในความเป็นตัวตนของสินค้าตัวนี้ในช่วงนั้น ขณะที่ราคาจำหน่ายของสินค้าที่ 599 ดอลล่าร์ ควรจะเป็นราคาที่ยอมรับได้หากมีความชัดเจนว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เป็นราคาที่แพงเกินไปและยอมรับไม่ได้แน่นอน หากว่าเป็นเพียงเครื่องเล่นเกมอย่างเดียว ที่แย่ก็คือ ในการดำเนินงานทางการตลาดที่ไม่ชัดเจน ทำให้ลูกค้าเป้าหมายมองว่า “แอ๊ปเปิ้ล ปิ๊ปปิ้น” เป็นเพียงเครื่องเล่นเกมเท่านั้นจึงทำให้ตัวสินค้าดังกล่าวประสบความล้มเหลวในที่สุด ยิ่งลูกค้ามีสินค้าประเภทเครื่องเล่นเกมยี่ห้ออื่นมาเปรียบเทียบและดูดีเหนือกว่าอย่างมากอย่างเช่น นินเทนโด เพลสเตชั่นของโซนี่ หรือสินค้าของเซก้า ก็เลยทำให้สินค้าของแอ๊ปเปิ้ลฉุดไม่ขึ้น
รายที่11อุปกรณ์ของแมคอินทอชพกพา(MacintoshPortable)
สินค้าตัวนี้ของแอ๊ปเปิ้ลมีวิถีทางที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในทางการตลาดที่แตกต่างจาก แอ๊ปเปิ้ล ปิ๊ปปิ้น และเป็นอีกหนึ่งในสินค้าที่ตายน้ำตื้นอย่างน่าเสียดาย จุดพกพร่องที่ทำให้ลูกค้าเป้าหมายยอมรับไม่ได้กับแมคอินทอช พกพาก็คือการที่แอ๊ปเปิ้ลนำเอาคำว่า “พกกา” หรือ“Portable”มาเป็นชื่อเรียกสินค้าประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ของตน สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชที่ว่านี้ มีสภาพของกายภาพสินค้าที่สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้จริงหรือเปล่า ความคาดหวังของผู้บริโภคก็คือ ตนจะต้องสามารถหิ้วเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชที่ว่านี้ไปไหนมาไหนได้หากไม่เป็นไปตามนั้นก็คงยอมรับคำว่า“Portable”ที่ติดห้อยมากับสินค้าไม่ได้ บทเรียนที่มีค่าคราวนี้คือ ต้องระมัดระวังอย่าเอาคำว่า“Portable”มาใช้แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
รายที่12แทคอินทอชทีวี(MacintoshTV)
เป็นอีกหนึ่งในความพยายามของบริษัทแอ๊ปเปิ้ลที่จะรวมความเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับความเป็นโทรทัศน์ ซึ่งนับเป็นความคิดที่ดีและน่าชื่นชมและดูเหมือนตลาดก็คาดหวังและมีความต้องการสินค้าประเภทนี้อยู่ด้วย ความล้มเหลวของแมคอินทอช ทีวี ก็คือ ระดับความก้าวหน้าและทันสมัยทางเทคโนโลยีในช่วงปี 1993 ดูเหมือนว่ายังไปไม่ถึงดวงดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนั้น ผู้คนยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชมรายการทางโทรทัศน์มาดูผ่านจอขนาด 14 นิ้ว และชอบดูทีวีที่มีจอใหญ่ๆ มากขึ้นมากกว่าด้วยเหตุนี้จอโทรทัศน์ขนาด 40 หรือ 50 นิ้วจึงขายดีกว่าจอขนาดจิ๋วของแทคอินทอช และผู้คนไม่เห็นความจำเป็นต้องซื้อแมคอินทอชทีวี เพื่อดูรายการทางทีวีทั้งยังเห็นว่าเป็นการเสียเงินโดยไม่คุ้มค่า ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ลูกค้าเป้าหมายมองยังไงๆ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม ก็ยังเห็นว่าแมคอินทอช ทีวี เป็นเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์ทีวีธรรมดาๆ เท่านั้น
ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์
Campaign of Coca-Cola
Campaign of Coca-Cola
มิวสิกมาร์เกตติ้ง อาวุธสู้ศึกน้ำดำกวาดยอดขายโค้งสุดท้ายของปี
ศึกชิงลูกค้าวัยรุ่น 2 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการน้ำอัดลม เป๊ปซี่ กับ โค้ก เปิดเกมสู้ปิดท้ายปีกันด้วยกลยุทธ์มิวสิกมาร์เกตติ้ง Think Global Act Local ต่อยอดจากคอนเซ็ปต์การตลาดระดับโลก ตอกย้ำภาพลักษณ์และเน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ลอยัลตี้ให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อแบรนด์สินค้าแต่ลงลึกตามแบบท้องถิ่นในแต่ละประเทศ
คู่ปรับในตลาดน้ำอัดลม ที่งัดข้อกันด้วยกลยุทธ์มิวสิกมาร์เกตติ้ง ที่เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกเพศ ทุกวัย และเพื่อเป็นท็อปออฟมายด์แบรนด์โดนใจกลุ่มวัยรุ่นช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดน้ำดำโค้งสุดท้ายปีนี้ ดูจะร้อนแรงและมีสีสันกว่าเดิมมาก เมื่อโค้กหันมาเดินเกมเคลื่อนไหวทางการตลาดโกลบอล แคมเปญ ซึ่งอยู่ในเวลาไล่เลี่ยกับ เป๊ปซี่ เปิดเกมรุกตลาดด้วย รีจินัล แคมเปญ เกาะกระแส K-pop และ C-pop ออกมากวาดยอดขายโค้งสุดท้ายของปีไปก่อน
หลังจากที่ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) และบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ใช้งบประมาณ 50 ล้านบาท ร่วมกันต่อยอดคอนเซ็ปต์ 'เป๊ปซี่ I Can เต็มที่ให้โลกเห็น' โดยเปิดตัวแคมเปญการตลาดมิวสิกมาร์เกตติ้ง เพื่อกระตุ้นยอดขายก่อนปิดรายได้สิ้นปีนี้ ภายใต้ Pepsi Asian Music Battle ซึ่งมาจากการทำคอนซูเมอร์อินไซด์ เกาะกระแสเอเชี่ยนฟีเวอร์ โดยดึงซูเปอร์สตาร์จากเกาหลี และ จีน คือซูเปอร์จูเนียร์-เอ็มและลีจุนกิ ปะทะกับ 4 ซูเปอร์สตาร์จีน นำทีมโดย กู่เทียนเล่อ มาถ่ายภาพยนตร์โฆษณาร่วมกัน โดยแคมเปญภาพยนตร์ชุดนี้เป็น รีจินัล แคมเปญ ในประเทศจีนและไทย ซึ่งออกอากาศผ่านสื่อ TVC ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายนนี้เป็นต้นไป
ล่าสุดในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ โค้ก ก็ออกมาประกบตามรีจินัล แคมเปญ คู่ปรับ เป๊ปซี่ ที่ออกมาก่อน ด้วยการเปิดตัวแคมเปญการตลาดในรูปแบบมิวสิกแพลตฟอร์ม (Music Platform) ซึ่งเป็นโกลบอล แคมเปญ ที่ต่อยอดมาจากคอนเซ็ปต์ของโค้กในระดับโลก ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและชีวิตด้านบวก คือ 'เลือกโค้ก ด้านดีๆ ของชีวิต' หรือ Coke Side of Life โดย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ใช้งบการตลาด 75 ล้านบาท เปิดแคมเปญ 'เปิดโค้กซ่า เปิดความสุข' (Open Happiness) ซึ่งถือเป็นแคมเปญระดับโลกที่เตรียมเปิดตัวในทุกประเทศที่โคคา-โคลา เข้าไปทำตลาด ซึ่งก่อนหน้านี้เปิดตัวไปแล้ว นับตั้งแต่ อเมริกา ประเทศในเอเชีย ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และประเทศไทยที่เลือกเปิดตัวช่วงไตรมาสสุดท้าย เพราะเป็นเวลาที่เหมาะสมตรงกับช่วงเทศกาลแห่งความสุข
การประชันศึกน้ำดำด้วยกลยุทธ์มิวสิกมาร์เกตติ้ง ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่แตกต่างนั่นคือ ครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้ที่ดูจะออกแรงหมัดที่หนักแน่นมากกว่าเดิม ด้วยรูปแบบของการเปิดตัวแคมเปญฟอร์มยักษ์มาแบบครบเครื่อง ซึ่งอยู่ในรูปแบบ Think Global Act Local (คิดระดับโลก แต่ทำแบบท้องถิ่น) คือทิศทางเดียวกันกับการกำหนดจากบริษัทแม่ แต่การบริหารจัดการประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ รายละเอียดตามท้องถิ่นที่เป็นอยู่ในแต่ละประเทศ โดยที่มาการตลาดแคมเปญมิวสิกมาร์เกตติ้งที่กำลังทำศึกปิดท้ายปีกันอยู่นี้ ขยายจากนโยบายหลักในระดับโลกปรับมาลงลึกระดับท้องถิ่น
อีกทั้งเป็นสิ่งที่ทั้งสองค่ายยักษ์น้ำอัดลมนั้น ต่อยอดมาจากคอนเซ็ปต์การตลาดใหม่จากบริษัทแม่ที่ใช้ทั่วโลก โดยรูปแบบการสื่อสารคอนเซ็ปต์การตลาดใหม่ที่ครองใจคนยุคนี้ จะมีผู้บริโภคเป็นจุดศูนย์กลาง โดยใช้กิจกรรมการตลาดและสื่อต่างๆ ในการเชื่อมโยงสื่อแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ เมื่อต้นปีเป๊ปซี่เปิดตัว 'เป๊ปซี่ I Can เต็มที่ให้โลกเห็น' ออกมาเพื่อตอบสนองกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย วัยรุ่น คนรุ่นใหม่
ขณะที่โค้กมีการต่อยอดคอนเซ็ปต์ 'เลือกโค้ก ด้านดีๆ ของชีวิต' ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2550 ด้วยแคมเปญและสโลแกนใหม่ 'เปิดโค้กซ่า เปิดความสุข' (Open Happiness) ปัจจัยเหล่านี้นี่เองที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การเปิดเกมรบแคมเปญมิวสิกมาร์เกตติ้งในครั้งนี้มีสีสันและร้อนแรงกว่าเดิม
ที่สำคัญสำหรับแคมเปญนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างคือ การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและโค้กให้ใกล้กันมากขึ้น โดยสื่อผ่านมิวสิกแพลตฟอร์มไปยังกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความประทับใจในเชิงบวกกับตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งในแต่ละประเทศที่เปิดตัวแคมเปญนี้ โคคา-โคลา จะทำงานร่วมกับสุดยอดศิลปินซึ่งเป็นขวัญใจของแฟนๆ ในประเทศนั้น โดยมีการเปิดตัวเพลงและมิวสิกวิดีโอเพื่อเป็นสื่อกลางเชื่อมแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับในประเทศไทย มี 'วง แทททู คัลเลอร์' ศิลปินป๊อปป๊อปยอดนิยมเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้กับโค้ก ที่มีการเพิ่มสีสันด้วยการถ่ายทำภาพยนตร์บางส่วนของเรื่องแต่ยังคงอิงเรื่องเดิม โดยมีแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ในไทยผ่านสื่อภาพยนตร์โฆษณาชุด 'Happiness Factory 3' (หรือโรงงานความสุขที่ 3) ซึ่งเป็นภาคที่ 3 ของภาพยนตร์โฆษณาระดับโกลบอลของโค้ก
รวมทั้งจัดกิจกรรมดนตรีอย่างต่อเนื่อง เดินสายกิจกราม 'โค้กซ่า เฟสติวัล ออนทัวร์' ณ มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และปิดท้ายปีด้วย 'โค้กซ่า เฟสติวัล 2009' งานมหกรรมดนตรีครั้งยิ่งใหญ่รวมสุดยอดศิลปินชั้นนำของไทย และเปิดเวที Coke Open Stage ให้วัยรุ่นได้แสดงความสามารถ และพลังความคิดสร้างสรรค์ในตัว เพื่อเข้าสู่ถนนสายดนตรีตามรอยศิลปินรุ่นพี่ที่เป็นไอดอล ในวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคมนี้ ที่แดนเนรมิต ถนนพหลโยธิน
กรอบแก้ว ปันยารชุน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) กล่าวว่า เพลง Thailand Open ที่ทูตดนตรี 'วง แทททู คัลเลอร์' แต่งและร้องไว้นั้น ได้ใส่กลิ่นอายความเป็นไทยในเพลง โดยผสมผสานเครื่องดนตรีไทยอย่างลงตัว สมศักดิ์ศรีตัวแทนประเทศไทย เช่นเดียวกับศิลปินซูเปอร์สตาร์ หวัง ลี ฮอม ของประเทศจีน และโจอี้ ยัง จากฮ่องกง ที่แต่งและร้องเพลง Open Happiness ในภาษาประจำชาติของตนมาแล้ว ส่วนกิจกรรมดนตรี 'โค้กซ่า เฟสติวัล 2009' จะสามารถตอบโจทย์ด้านความต้องการทางดนตรีของวัยรุ่นในทุกๆ ประเด็น เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่เคยเป็นปัญหาในการเข้าถึงดนตรีของวัยรุ่นไทย ที่ผู้ร่วมงานได้เป็นทั้งผู้ชม ผู้เล่น และผู้แสดง
การพลิกตำรามาเปิดเกมรบแคมเปญมิวสิกมาร์เกตติ้งในครั้งนี้ของ โค้ก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่มีความแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะแม้ว่าการแข่งขันในสมรภูมิน้ำดำ เน้นการตลาดแบบอีโมชันนัลมาร์เกตติ้ง ซึ่งเป็นการตลาดที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ มากกว่าจุดขายด้านความเป็นเครื่องดื่มที่ดับกระหายให้ความสดชื่น โดยมีหัวหอกมาร์เกตติ้งแพลตฟอร์มทั้งสปอร์ต และมิวสิกมาร์เกตติ้ง เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนตลาด ซึ่งเกมรบแคมเปญมิวสิกมาร์เกตติ้ง ไฮไลต์ที่โค้กใช้มาต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ นับตั้งแต่ปี 2548 ที่เปิดตัวแคมเปญ โค้ก มิวสิค ฮันท์ ประสบการณ์ดนตรีรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไฮเทค กระป๋องร้องเพลงได้ ลุ้นรางวัลเมื่อดื่มโค้กและได้ยินเพลงรับโชคทันที
กระทั่ง 'โคคา-โคลา เรด เลานจ์' มิวสิกสเตชั่น สร้างความมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคอย่างแท้จริง (Brand Experience) และเพื่อขยายฐานให้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ด้านบันเทิง ทั้งดูหนังและฟังเพลงของกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ โค้ก ให้ความสำคัญยิ่งกว่า คือการใช้จุดแข็งทางด้านแบรนด์ที่อยู่มานาน มีความเก๋าเกมยิ่งกว่าคู่แข่ง เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดสร้างแบรนด์เข้าไปนั่งในหัวใจของผู้บริโภค พร้อมกิจกรรมการตลาดในรูปแบบ 'ดนตรี' 'กีฬา' และ 'ประเพณีวัฒนธรรม' เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายมากที่สุด และสร้างความกลมกลืนกับท้องถิ่น ซึ่งเป็นการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทแม่ โคคา-โคลา ที่ยกเลิกสโลแกน 'think global, act local' เป็น 'think local, act local' ทั้งนี้เพื่อปรับกลยุทธ์ให้คิดแบบคนท้องถิ่นและทำแบบคนท้องถิ่น สอดคล้องกับพฤติกรรมคนท้องถิ่นในประเทศให้มากที่สุด
นั่นเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คะแนนความนิยมของกลุ่มวัยรุ่นที่มีต่อแบรนด์น้ำดำ เทไปเป็นของคู่แข่งที่ใช้มิวสิกมาร์เกตติ้งเป็นอาวุธหลักในการเข้าไปเจาะตลาด กอปรกับ เป๊ปซี่ ยังเดินเกมด้วยการเปิดตัวคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ ซึ่งเข้ามาทำหน้าที่บทบาทสื่อสารแบรนด์เพื่อยึดพื้นที่กลางใจกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นที่เป็นตลาดหลักให้อยู่หมัด นับตั้งแต่เมื่อต้นปี'50 เปลี่ยนไปใช้แคมเปญการตลาดใหม่ หลังจากที่ 'เป๊ปซี่ เต็มที่กับชีวิต ใช้มานาน 7 ปี เป็น 'ชีวิตเต็มที่ได้อีกเยอะ เป๊ปซี่...เต็มที่เลย' เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นที่ต้องการค้นหาตัวเอง กระทั่ง 'เป๊ปซี่ I Can เต็มที่ให้โลกเห็น' เมื่อต้นปีนี้ โดยแนวทางมุ่งไปที่มาร์เกตติ้งแพลตฟอร์มทั้งสปอร์ต และมิวสิกมาร์เกตติ้ง ที่ถือเป็น 'Global Strategy'คอนเซ็ปต์มาจากบริษัทแม่ที่ใช้ทั่วโลก แต่เป็นการใช้ในรูปแบบ Think Global Act Local
กรณีเช่น กิจกรรมการตลาดมิวสิกและสปอร์ตมาร์เกตติ้ง สื่อสารอย่างครบวงจรผ่านแคมเปญใหญ่ในช่วงหน้าร้อนที่เน้นพรีเซนเตอร์ซูเปอร์สตาร์ระดับอินเตอร์ ผสมผสานกันไปตามโอกาส และจังหวะ อาทิ ไมเคิล แจ็กสัน, บียอนเซ่, บริตนีย์ สเปียร์ส และ Black Eyed Pea สลับโลคัลที่ได้รับความนิยมในแถบเอเชีย และแคมเปญดาราซูเปอร์สตาร์ของแต่ละท้องถิ่น 4 หนุ่ม F4, โดม-ปกรณ์ ลัม, ศิลปิน AF มาเป็นพรีเซนเตอร์ในมิวสิกมาร์เกตติ้ง ผนวกกับการทำแคมเปญโปรโมชั่นชิงรางวัลที่มีการปรับให้สอดคล้องกับสภาพตลาดในประเทศไทยมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและสามารถดึงกลุ่มวัยรุ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของเป๊ปซี่ได้ เช่นเดียวกัน รีจินัล แคมเปญ ล่าสุดที่มีการจัดโปรโมชั่นชิงโชคและนำฝาเป๊ปซี่แลกเสื้อยืดและแก้วน้ำ ที่หน่วยรถขายเป๊ปซี่ทั่วประเทศ รวมถึงการส่งฝาลุ้นจี้เป๊ปซี่มิวสิกทองคำ และแพกเกจทัวร์เกาหลี 5 วัน 4 คืน ร่วมชมคอนเสิร์ตในรายการโทรทัศน์ยอดนิยมของวัยรุ่นเกาหลี และโอกาสกระทบไหล่ไอดอลสุดฮอต ที่ประเทศเกาหลีอีกด้วย
กลยุทธ์การรุกตลาดด้วยรูปแบบการตลาดดังกล่าว ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด เพราะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ทำให้เป๊ปซี่มีส่วนแบ่งตลาดแซงหน้า โค้ก อีกทั้งเป็นตลาดน้ำอัดลมที่เป๊ปซี่นำเป็นที่หนึ่ง ซึ่งมีไม่กี่ประเทศในโลก กระทั่งปัจจุบัน โดยในงานเปิดตัวแคมเปญ 'Pepsi Asian Music Battle' เอริค กิจจาธนพันธ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า แนวรุกด้วยแคมเปญการตลาดทุกช่องทางอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้เป๊ปซี่ ยังเป็นผู้นำเครื่องดื่มด้วยส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 53% มาเป็น 61% โดยเฉพาะในช่องทางจำหน่ายร้านอาหารซึ่งเป็นช่องทางหลักของเป๊ปซี่ ยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เป็น 63.2% สูงกว่าปีที่ผ่านมา 3% โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตลาดรวมมีอัตราการเติบโต 3% ดีกว่าปีที่ผ่านมา
ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์2 พฤศจิกายน 2552
โค้ก’ เชิญชวนชาวไทยสนุกสุขสดชื่นกับกิจกรรม “เปิดโค้กซ่า...บรื๊ออออสงกรานต์” 13 – 18 เมษายนนี้
วันที่ 1 เมษายน 2553 17:31 น. ที่มา บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์
วันนี้ ‘โค้ก’ เครื่องดื่มยอดนิยมของไทยและทั่วโลก โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย จัดกิจกรรมพิเศษ “เปิดโค้กซ่า...บรื๊ออออสงกรานต์” เชิญชวนชาวไทยร่วมเฉลิมฉลอง ดับร้อนรับสงกรานต์ ให้พี่น้องชาวไทยได้ร่วมสนุกบรื๊อออสดชื่น ตอกย้ำความซ่าสดชื่นของโค้ก
โค้ก ไม่ถอย ทุ่มงบ 55 ล้านบาท จัดกิจกรรมใหญ่มหาสงกรานต์ตลอด 6 วัน สร้างสีสัน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด
นางสาวชนิสา แก้วเรือน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ บริษัทยังคงเดินกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงหน้าร้อนในเทศกาลสงกรานต์ตามแผนเดิม โดยคาดว่าจะเป็นกิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มสีสันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ โดยกิจกรรมใหญ่ในช่วงสงกรานต์ปีนี้นี้ จะใช้งบประมาณ 55 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมตลอด 6 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 13-18 เม.ย.
สำหรับกำหนดการจัดกิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ประกอบด้วย วันที่ 13 เม.ย. กรุงเทพฯ ที่ถนนข้าวสาร เชียงใหม่ ที่ประตูท่าแพ ขอนแก่น สงขลา ที่อำเภอหาดใหญ่ วันที่ 14 เม.ย. ขอนแก่น ที่ถนนข้าวเหนียว วันที่ 16-17 เม.ย. ที่ ชลบุรี ที่หาดบางแสน และวันที่ 18 เม.ย. สมุทรปราการ ที่อำเภอพระประแดง โดยไฮไลต์จะอยู่ที่ถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นแหล่งเล่นน้ำสงกรานต์ที่ฮอตฮิตที่สุดในหมู่วัยรุ่นชาวไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ โดยยังได้เตรียมจัดมินิคอนเสิร์ต
"ขณะนี้โค้กได้ส่งทีมเพอร์เฟ็คเสิร์ฟเพื่อออกเสิร์ฟเครื่องดื่มโค้กกว่า 500,000 ขวดในเดือนเดียว และตระเวนสร้างสีสันตามจุดแฮงค์เอาท์ของวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงานทั่วกรุงเทพฯ เช่น ตลาดนัดจตุจักร ตลาดตะวันนา อนุสาวรีย์ชัยฯ พันธุ์ทิพย์พลาซ่า และหัวเมืองต่างๆ อาทิ จ.ชลบุรี และจ.พระนครศรีอยุธยา " นางสาวชนิสา กล่าว และว่า โดยในช่วงวันที่ร้อนที่สุดของไทย คือ วันที่ 22 เม.ย.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าอุณหภูมิจะร้อนถึง 42 องศาเซลเซียส บริษัทตั้งเป้าที่เสิร์ฟโค้กในสไตล์ ‘โค้ก เพอร์เฟ็คเสิร์ฟ’ 100,000 ขวด โดยกิจกรรมนี้ยังเชื่อมต่อจากจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อเชื่อมโยงต่อไปถึงการแข่งขันฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ™ 2010 ในระหว่าง 11 มิ.ย. ถึง 11 ก.ค.
เล่นสงกรานต์สนุกซ่าบรื๊ออออกับโค้ก 13 - 18 เมษายน 2553 นี้
- 13 เมษายน: จ.เชียงใหม่ ที่ประตูท่าแพ จ. สงขลา ที่อำเภอหาดใหญ่ โดยไฮไลท์จะอยู่ที่ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ โค้กเตรียมมอบความสุขอีกขั้นกับมินิคอนเสิร์ตสุดมันส์
- 14 เมษายน: จ.ชลบุรี ที่หาดบางแสน
- 17 เมษายน: จ. ขอนแก่นที่ถนนข้าวเหนียว
- 18 เมษายน: จ. สมุทรปราการ ที่อำเภอพระประแดง
พิเศษ! ฝาโค้กมีค่า – แลกรับ “อุปกรณ์เล่นน้ำสงกรานต์ โค้กบรื๊ออออ ลิมิเต็ด เอดิชั่น” อาทิ ปืนฉีดน้ำ เสื้อกล้ามโค้กสุดคูล บอทเทิลฮอร์น (แตรเป่ารูปขวดโค้ก) และซองใส่มือถือกันน้ำ ณ บูธโค้ก ตามจุดที่มีขบวนรถคาราวานโค้กซ่า บรื๊อออ สงกรานต์
"โค้ก"เพิ่มงบการตลาด50ล้านอัดกิจกรรมรับบอลโลกฟีเวอร์
กรอบแก้ว ปันยารชุน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด
กลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า เครื่องดื่มโค้ก ในฐานะผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2010 ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้คนไทยได้เฉลิมฉลองรับสุดยอดกีฬาฟุตบอลของโลกอย่างมีความสุขกันอีกครั้ง
นอกจากนี้ โค้กยังเป็น "แพลทตินัม สปอนเซอร์" ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกทุกแมทช์ กับ บมจ.อาร์เอส ผู้บริหารลิขสิทธิ์ในประเทศไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อนําประสบการณ์ชมและเชียร์บอลโลกแบบสดทุกวัน มันส์ทุกแมทช์ไปสู่คอบอลไทยทั่วประเทศ ด้วยงบการตลาดเพิ่มขึ้นถึง 50 ล้านบาท จากงบที่วางไว้ 120 ล้านบาท สําหรับจัดกิจกรรมฟุตบอลทุกระดับนับแต่ต้นปี ให้ทุกคนได้ฉลองชัยในแบบของตัวเองไปกับโค้กตลอดฤดูกาล
โค้กได้นําสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมามอบกับร้านอาหาร โรงแรมและสถานบันเทิงต่างๆ ที่จําหน่ายผลิตภัณฑ์ของโคคา-โคลา ให้สามารถโปรโมทและถ่ายทอดสดบอลโลกในร้านได้ทุกนัด ทุกแมทช์อย่างถูกลิขสิทธิ์ ถือเป็นอภิสิทธิ์พิเศษสําหรับร้านค้าพันธมิตรของโค้กเท่านั้น
ขณะเดียวกันยังเตรียมมอบโชคทองคําแท้มูลค่า 4.15 ล้านบาท ให้ได้ลุ้นทองทุกวัน เชียร์บอลโลกมันส์ทุกแมทช์กับโค้ก ในโปรโมชั่น "เชียร์บอลโลก รวยทองทุกแมทช์กับโค้ก" จัดทายผลผู้ชนะของแต่ละแมทช์
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม ฉลองชัยให้คนไทยในอนาคต เพื่อส่งเสริมสุขภาพและทักษะด้านกีฬาของเยาวชนและประชาชนทั่วไป จึงเตรียมมอบเงิน 1.5 ล้านบาทให้ "การกีฬาแห่งประเทศไทย" เพื่อใช้ในการพัฒนาสนามฟุตบอลท้องถิ่นรวม 15 จังหวัด
โค้กยังนําผู้โชคดีรวม 36 คน บินตรงสู่ประเทศแอฟริกาใต้เพื่อชมการแข่งขันฟุตบอลโลก ได้แก่ ผู้โชคดีจากโปรโมชั่น "ตะลุยบอลโลก ยกแก๊งกับโค้ก" รอบก่อนรองชนะเลิศจํานวนทั้งสิ้น 30 ที่นั่ง และรอบชิงชนะเลิศจํานวน 3 ที่นั่ง ♦
ที่มา : http://www.daradaily.com/news/22705
มิวสิกมาร์เกตติ้ง อาวุธสู้ศึกน้ำดำกวาดยอดขายโค้งสุดท้ายของปี
ศึกชิงลูกค้าวัยรุ่น 2 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการน้ำอัดลม เป๊ปซี่ กับ โค้ก เปิดเกมสู้ปิดท้ายปีกันด้วยกลยุทธ์มิวสิกมาร์เกตติ้ง Think Global Act Local ต่อยอดจากคอนเซ็ปต์การตลาดระดับโลก ตอกย้ำภาพลักษณ์และเน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ลอยัลตี้ให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อแบรนด์สินค้าแต่ลงลึกตามแบบท้องถิ่นในแต่ละประเทศ
คู่ปรับในตลาดน้ำอัดลม ที่งัดข้อกันด้วยกลยุทธ์มิวสิกมาร์เกตติ้ง ที่เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกเพศ ทุกวัย และเพื่อเป็นท็อปออฟมายด์แบรนด์โดนใจกลุ่มวัยรุ่นช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดน้ำดำโค้งสุดท้ายปีนี้ ดูจะร้อนแรงและมีสีสันกว่าเดิมมาก เมื่อโค้กหันมาเดินเกมเคลื่อนไหวทางการตลาดโกลบอล แคมเปญ ซึ่งอยู่ในเวลาไล่เลี่ยกับ เป๊ปซี่ เปิดเกมรุกตลาดด้วย รีจินัล แคมเปญ เกาะกระแส K-pop และ C-pop ออกมากวาดยอดขายโค้งสุดท้ายของปีไปก่อน
หลังจากที่ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) และบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ใช้งบประมาณ 50 ล้านบาท ร่วมกันต่อยอดคอนเซ็ปต์ 'เป๊ปซี่ I Can เต็มที่ให้โลกเห็น' โดยเปิดตัวแคมเปญการตลาดมิวสิกมาร์เกตติ้ง เพื่อกระตุ้นยอดขายก่อนปิดรายได้สิ้นปีนี้ ภายใต้ Pepsi Asian Music Battle ซึ่งมาจากการทำคอนซูเมอร์อินไซด์ เกาะกระแสเอเชี่ยนฟีเวอร์ โดยดึงซูเปอร์สตาร์จากเกาหลี และ จีน คือซูเปอร์จูเนียร์-เอ็มและลีจุนกิ ปะทะกับ 4 ซูเปอร์สตาร์จีน นำทีมโดย กู่เทียนเล่อ มาถ่ายภาพยนตร์โฆษณาร่วมกัน โดยแคมเปญภาพยนตร์ชุดนี้เป็น รีจินัล แคมเปญ ในประเทศจีนและไทย ซึ่งออกอากาศผ่านสื่อ TVC ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายนนี้เป็นต้นไป
ล่าสุดในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ โค้ก ก็ออกมาประกบตามรีจินัล แคมเปญ คู่ปรับ เป๊ปซี่ ที่ออกมาก่อน ด้วยการเปิดตัวแคมเปญการตลาดในรูปแบบมิวสิกแพลตฟอร์ม (Music Platform) ซึ่งเป็นโกลบอล แคมเปญ ที่ต่อยอดมาจากคอนเซ็ปต์ของโค้กในระดับโลก ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและชีวิตด้านบวก คือ 'เลือกโค้ก ด้านดีๆ ของชีวิต' หรือ Coke Side of Life โดย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ใช้งบการตลาด 75 ล้านบาท เปิดแคมเปญ 'เปิดโค้กซ่า เปิดความสุข' (Open Happiness) ซึ่งถือเป็นแคมเปญระดับโลกที่เตรียมเปิดตัวในทุกประเทศที่โคคา-โคลา เข้าไปทำตลาด ซึ่งก่อนหน้านี้เปิดตัวไปแล้ว นับตั้งแต่ อเมริกา ประเทศในเอเชีย ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และประเทศไทยที่เลือกเปิดตัวช่วงไตรมาสสุดท้าย เพราะเป็นเวลาที่เหมาะสมตรงกับช่วงเทศกาลแห่งความสุข
การประชันศึกน้ำดำด้วยกลยุทธ์มิวสิกมาร์เกตติ้ง ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่แตกต่างนั่นคือ ครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้ที่ดูจะออกแรงหมัดที่หนักแน่นมากกว่าเดิม ด้วยรูปแบบของการเปิดตัวแคมเปญฟอร์มยักษ์มาแบบครบเครื่อง ซึ่งอยู่ในรูปแบบ Think Global Act Local (คิดระดับโลก แต่ทำแบบท้องถิ่น) คือทิศทางเดียวกันกับการกำหนดจากบริษัทแม่ แต่การบริหารจัดการประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ รายละเอียดตามท้องถิ่นที่เป็นอยู่ในแต่ละประเทศ โดยที่มาการตลาดแคมเปญมิวสิกมาร์เกตติ้งที่กำลังทำศึกปิดท้ายปีกันอยู่นี้ ขยายจากนโยบายหลักในระดับโลกปรับมาลงลึกระดับท้องถิ่น
อีกทั้งเป็นสิ่งที่ทั้งสองค่ายยักษ์น้ำอัดลมนั้น ต่อยอดมาจากคอนเซ็ปต์การตลาดใหม่จากบริษัทแม่ที่ใช้ทั่วโลก โดยรูปแบบการสื่อสารคอนเซ็ปต์การตลาดใหม่ที่ครองใจคนยุคนี้ จะมีผู้บริโภคเป็นจุดศูนย์กลาง โดยใช้กิจกรรมการตลาดและสื่อต่างๆ ในการเชื่อมโยงสื่อแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ เมื่อต้นปีเป๊ปซี่เปิดตัว 'เป๊ปซี่ I Can เต็มที่ให้โลกเห็น' ออกมาเพื่อตอบสนองกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย วัยรุ่น คนรุ่นใหม่
ขณะที่โค้กมีการต่อยอดคอนเซ็ปต์ 'เลือกโค้ก ด้านดีๆ ของชีวิต' ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2550 ด้วยแคมเปญและสโลแกนใหม่ 'เปิดโค้กซ่า เปิดความสุข' (Open Happiness) ปัจจัยเหล่านี้นี่เองที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การเปิดเกมรบแคมเปญมิวสิกมาร์เกตติ้งในครั้งนี้มีสีสันและร้อนแรงกว่าเดิม
ที่สำคัญสำหรับแคมเปญนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างคือ การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและโค้กให้ใกล้กันมากขึ้น โดยสื่อผ่านมิวสิกแพลตฟอร์มไปยังกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความประทับใจในเชิงบวกกับตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งในแต่ละประเทศที่เปิดตัวแคมเปญนี้ โคคา-โคลา จะทำงานร่วมกับสุดยอดศิลปินซึ่งเป็นขวัญใจของแฟนๆ ในประเทศนั้น โดยมีการเปิดตัวเพลงและมิวสิกวิดีโอเพื่อเป็นสื่อกลางเชื่อมแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับในประเทศไทย มี 'วง แทททู คัลเลอร์' ศิลปินป๊อปป๊อปยอดนิยมเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้กับโค้ก ที่มีการเพิ่มสีสันด้วยการถ่ายทำภาพยนตร์บางส่วนของเรื่องแต่ยังคงอิงเรื่องเดิม โดยมีแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ในไทยผ่านสื่อภาพยนตร์โฆษณาชุด 'Happiness Factory 3' (หรือโรงงานความสุขที่ 3) ซึ่งเป็นภาคที่ 3 ของภาพยนตร์โฆษณาระดับโกลบอลของโค้ก
รวมทั้งจัดกิจกรรมดนตรีอย่างต่อเนื่อง เดินสายกิจกราม 'โค้กซ่า เฟสติวัล ออนทัวร์' ณ มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และปิดท้ายปีด้วย 'โค้กซ่า เฟสติวัล 2009' งานมหกรรมดนตรีครั้งยิ่งใหญ่รวมสุดยอดศิลปินชั้นนำของไทย และเปิดเวที Coke Open Stage ให้วัยรุ่นได้แสดงความสามารถ และพลังความคิดสร้างสรรค์ในตัว เพื่อเข้าสู่ถนนสายดนตรีตามรอยศิลปินรุ่นพี่ที่เป็นไอดอล ในวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคมนี้ ที่แดนเนรมิต ถนนพหลโยธิน
กรอบแก้ว ปันยารชุน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) กล่าวว่า เพลง Thailand Open ที่ทูตดนตรี 'วง แทททู คัลเลอร์' แต่งและร้องไว้นั้น ได้ใส่กลิ่นอายความเป็นไทยในเพลง โดยผสมผสานเครื่องดนตรีไทยอย่างลงตัว สมศักดิ์ศรีตัวแทนประเทศไทย เช่นเดียวกับศิลปินซูเปอร์สตาร์ หวัง ลี ฮอม ของประเทศจีน และโจอี้ ยัง จากฮ่องกง ที่แต่งและร้องเพลง Open Happiness ในภาษาประจำชาติของตนมาแล้ว ส่วนกิจกรรมดนตรี 'โค้กซ่า เฟสติวัล 2009' จะสามารถตอบโจทย์ด้านความต้องการทางดนตรีของวัยรุ่นในทุกๆ ประเด็น เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่เคยเป็นปัญหาในการเข้าถึงดนตรีของวัยรุ่นไทย ที่ผู้ร่วมงานได้เป็นทั้งผู้ชม ผู้เล่น และผู้แสดง
การพลิกตำรามาเปิดเกมรบแคมเปญมิวสิกมาร์เกตติ้งในครั้งนี้ของ โค้ก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่มีความแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะแม้ว่าการแข่งขันในสมรภูมิน้ำดำ เน้นการตลาดแบบอีโมชันนัลมาร์เกตติ้ง ซึ่งเป็นการตลาดที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ มากกว่าจุดขายด้านความเป็นเครื่องดื่มที่ดับกระหายให้ความสดชื่น โดยมีหัวหอกมาร์เกตติ้งแพลตฟอร์มทั้งสปอร์ต และมิวสิกมาร์เกตติ้ง เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนตลาด ซึ่งเกมรบแคมเปญมิวสิกมาร์เกตติ้ง ไฮไลต์ที่โค้กใช้มาต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ นับตั้งแต่ปี 2548 ที่เปิดตัวแคมเปญ โค้ก มิวสิค ฮันท์ ประสบการณ์ดนตรีรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไฮเทค กระป๋องร้องเพลงได้ ลุ้นรางวัลเมื่อดื่มโค้กและได้ยินเพลงรับโชคทันที
กระทั่ง 'โคคา-โคลา เรด เลานจ์' มิวสิกสเตชั่น สร้างความมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคอย่างแท้จริง (Brand Experience) และเพื่อขยายฐานให้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ด้านบันเทิง ทั้งดูหนังและฟังเพลงของกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ โค้ก ให้ความสำคัญยิ่งกว่า คือการใช้จุดแข็งทางด้านแบรนด์ที่อยู่มานาน มีความเก๋าเกมยิ่งกว่าคู่แข่ง เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดสร้างแบรนด์เข้าไปนั่งในหัวใจของผู้บริโภค พร้อมกิจกรรมการตลาดในรูปแบบ 'ดนตรี' 'กีฬา' และ 'ประเพณีวัฒนธรรม' เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายมากที่สุด และสร้างความกลมกลืนกับท้องถิ่น ซึ่งเป็นการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทแม่ โคคา-โคลา ที่ยกเลิกสโลแกน 'think global, act local' เป็น 'think local, act local' ทั้งนี้เพื่อปรับกลยุทธ์ให้คิดแบบคนท้องถิ่นและทำแบบคนท้องถิ่น สอดคล้องกับพฤติกรรมคนท้องถิ่นในประเทศให้มากที่สุด
นั่นเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คะแนนความนิยมของกลุ่มวัยรุ่นที่มีต่อแบรนด์น้ำดำ เทไปเป็นของคู่แข่งที่ใช้มิวสิกมาร์เกตติ้งเป็นอาวุธหลักในการเข้าไปเจาะตลาด กอปรกับ เป๊ปซี่ ยังเดินเกมด้วยการเปิดตัวคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ ซึ่งเข้ามาทำหน้าที่บทบาทสื่อสารแบรนด์เพื่อยึดพื้นที่กลางใจกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นที่เป็นตลาดหลักให้อยู่หมัด นับตั้งแต่เมื่อต้นปี'50 เปลี่ยนไปใช้แคมเปญการตลาดใหม่ หลังจากที่ 'เป๊ปซี่ เต็มที่กับชีวิต ใช้มานาน 7 ปี เป็น 'ชีวิตเต็มที่ได้อีกเยอะ เป๊ปซี่...เต็มที่เลย' เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นที่ต้องการค้นหาตัวเอง กระทั่ง 'เป๊ปซี่ I Can เต็มที่ให้โลกเห็น' เมื่อต้นปีนี้ โดยแนวทางมุ่งไปที่มาร์เกตติ้งแพลตฟอร์มทั้งสปอร์ต และมิวสิกมาร์เกตติ้ง ที่ถือเป็น 'Global Strategy'คอนเซ็ปต์มาจากบริษัทแม่ที่ใช้ทั่วโลก แต่เป็นการใช้ในรูปแบบ Think Global Act Local
กรณีเช่น กิจกรรมการตลาดมิวสิกและสปอร์ตมาร์เกตติ้ง สื่อสารอย่างครบวงจรผ่านแคมเปญใหญ่ในช่วงหน้าร้อนที่เน้นพรีเซนเตอร์ซูเปอร์สตาร์ระดับอินเตอร์ ผสมผสานกันไปตามโอกาส และจังหวะ อาทิ ไมเคิล แจ็กสัน, บียอนเซ่, บริตนีย์ สเปียร์ส และ Black Eyed Pea สลับโลคัลที่ได้รับความนิยมในแถบเอเชีย และแคมเปญดาราซูเปอร์สตาร์ของแต่ละท้องถิ่น 4 หนุ่ม F4, โดม-ปกรณ์ ลัม, ศิลปิน AF มาเป็นพรีเซนเตอร์ในมิวสิกมาร์เกตติ้ง ผนวกกับการทำแคมเปญโปรโมชั่นชิงรางวัลที่มีการปรับให้สอดคล้องกับสภาพตลาดในประเทศไทยมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและสามารถดึงกลุ่มวัยรุ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของเป๊ปซี่ได้ เช่นเดียวกัน รีจินัล แคมเปญ ล่าสุดที่มีการจัดโปรโมชั่นชิงโชคและนำฝาเป๊ปซี่แลกเสื้อยืดและแก้วน้ำ ที่หน่วยรถขายเป๊ปซี่ทั่วประเทศ รวมถึงการส่งฝาลุ้นจี้เป๊ปซี่มิวสิกทองคำ และแพกเกจทัวร์เกาหลี 5 วัน 4 คืน ร่วมชมคอนเสิร์ตในรายการโทรทัศน์ยอดนิยมของวัยรุ่นเกาหลี และโอกาสกระทบไหล่ไอดอลสุดฮอต ที่ประเทศเกาหลีอีกด้วย
กลยุทธ์การรุกตลาดด้วยรูปแบบการตลาดดังกล่าว ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด เพราะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ทำให้เป๊ปซี่มีส่วนแบ่งตลาดแซงหน้า โค้ก อีกทั้งเป็นตลาดน้ำอัดลมที่เป๊ปซี่นำเป็นที่หนึ่ง ซึ่งมีไม่กี่ประเทศในโลก กระทั่งปัจจุบัน โดยในงานเปิดตัวแคมเปญ 'Pepsi Asian Music Battle' เอริค กิจจาธนพันธ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า แนวรุกด้วยแคมเปญการตลาดทุกช่องทางอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้เป๊ปซี่ ยังเป็นผู้นำเครื่องดื่มด้วยส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 53% มาเป็น 61% โดยเฉพาะในช่องทางจำหน่ายร้านอาหารซึ่งเป็นช่องทางหลักของเป๊ปซี่ ยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เป็น 63.2% สูงกว่าปีที่ผ่านมา 3% โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตลาดรวมมีอัตราการเติบโต 3% ดีกว่าปีที่ผ่านมา
ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์2 พฤศจิกายน 2552
โค้ก’ เชิญชวนชาวไทยสนุกสุขสดชื่นกับกิจกรรม “เปิดโค้กซ่า...บรื๊ออออสงกรานต์” 13 – 18 เมษายนนี้
วันที่ 1 เมษายน 2553 17:31 น. ที่มา บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์
วันนี้ ‘โค้ก’ เครื่องดื่มยอดนิยมของไทยและทั่วโลก โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย จัดกิจกรรมพิเศษ “เปิดโค้กซ่า...บรื๊ออออสงกรานต์” เชิญชวนชาวไทยร่วมเฉลิมฉลอง ดับร้อนรับสงกรานต์ ให้พี่น้องชาวไทยได้ร่วมสนุกบรื๊อออสดชื่น ตอกย้ำความซ่าสดชื่นของโค้ก
โค้ก ไม่ถอย ทุ่มงบ 55 ล้านบาท จัดกิจกรรมใหญ่มหาสงกรานต์ตลอด 6 วัน สร้างสีสัน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด
นางสาวชนิสา แก้วเรือน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ บริษัทยังคงเดินกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงหน้าร้อนในเทศกาลสงกรานต์ตามแผนเดิม โดยคาดว่าจะเป็นกิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มสีสันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ โดยกิจกรรมใหญ่ในช่วงสงกรานต์ปีนี้นี้ จะใช้งบประมาณ 55 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมตลอด 6 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 13-18 เม.ย.
สำหรับกำหนดการจัดกิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ประกอบด้วย วันที่ 13 เม.ย. กรุงเทพฯ ที่ถนนข้าวสาร เชียงใหม่ ที่ประตูท่าแพ ขอนแก่น สงขลา ที่อำเภอหาดใหญ่ วันที่ 14 เม.ย. ขอนแก่น ที่ถนนข้าวเหนียว วันที่ 16-17 เม.ย. ที่ ชลบุรี ที่หาดบางแสน และวันที่ 18 เม.ย. สมุทรปราการ ที่อำเภอพระประแดง โดยไฮไลต์จะอยู่ที่ถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นแหล่งเล่นน้ำสงกรานต์ที่ฮอตฮิตที่สุดในหมู่วัยรุ่นชาวไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ โดยยังได้เตรียมจัดมินิคอนเสิร์ต
"ขณะนี้โค้กได้ส่งทีมเพอร์เฟ็คเสิร์ฟเพื่อออกเสิร์ฟเครื่องดื่มโค้กกว่า 500,000 ขวดในเดือนเดียว และตระเวนสร้างสีสันตามจุดแฮงค์เอาท์ของวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงานทั่วกรุงเทพฯ เช่น ตลาดนัดจตุจักร ตลาดตะวันนา อนุสาวรีย์ชัยฯ พันธุ์ทิพย์พลาซ่า และหัวเมืองต่างๆ อาทิ จ.ชลบุรี และจ.พระนครศรีอยุธยา " นางสาวชนิสา กล่าว และว่า โดยในช่วงวันที่ร้อนที่สุดของไทย คือ วันที่ 22 เม.ย.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าอุณหภูมิจะร้อนถึง 42 องศาเซลเซียส บริษัทตั้งเป้าที่เสิร์ฟโค้กในสไตล์ ‘โค้ก เพอร์เฟ็คเสิร์ฟ’ 100,000 ขวด โดยกิจกรรมนี้ยังเชื่อมต่อจากจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อเชื่อมโยงต่อไปถึงการแข่งขันฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ™ 2010 ในระหว่าง 11 มิ.ย. ถึง 11 ก.ค.
เล่นสงกรานต์สนุกซ่าบรื๊ออออกับโค้ก 13 - 18 เมษายน 2553 นี้
- 13 เมษายน: จ.เชียงใหม่ ที่ประตูท่าแพ จ. สงขลา ที่อำเภอหาดใหญ่ โดยไฮไลท์จะอยู่ที่ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ โค้กเตรียมมอบความสุขอีกขั้นกับมินิคอนเสิร์ตสุดมันส์
- 14 เมษายน: จ.ชลบุรี ที่หาดบางแสน
- 17 เมษายน: จ. ขอนแก่นที่ถนนข้าวเหนียว
- 18 เมษายน: จ. สมุทรปราการ ที่อำเภอพระประแดง
พิเศษ! ฝาโค้กมีค่า – แลกรับ “อุปกรณ์เล่นน้ำสงกรานต์ โค้กบรื๊ออออ ลิมิเต็ด เอดิชั่น” อาทิ ปืนฉีดน้ำ เสื้อกล้ามโค้กสุดคูล บอทเทิลฮอร์น (แตรเป่ารูปขวดโค้ก) และซองใส่มือถือกันน้ำ ณ บูธโค้ก ตามจุดที่มีขบวนรถคาราวานโค้กซ่า บรื๊อออ สงกรานต์
"โค้ก"เพิ่มงบการตลาด50ล้านอัดกิจกรรมรับบอลโลกฟีเวอร์
กรอบแก้ว ปันยารชุน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด
กลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า เครื่องดื่มโค้ก ในฐานะผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2010 ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้คนไทยได้เฉลิมฉลองรับสุดยอดกีฬาฟุตบอลของโลกอย่างมีความสุขกันอีกครั้ง
นอกจากนี้ โค้กยังเป็น "แพลทตินัม สปอนเซอร์" ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกทุกแมทช์ กับ บมจ.อาร์เอส ผู้บริหารลิขสิทธิ์ในประเทศไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อนําประสบการณ์ชมและเชียร์บอลโลกแบบสดทุกวัน มันส์ทุกแมทช์ไปสู่คอบอลไทยทั่วประเทศ ด้วยงบการตลาดเพิ่มขึ้นถึง 50 ล้านบาท จากงบที่วางไว้ 120 ล้านบาท สําหรับจัดกิจกรรมฟุตบอลทุกระดับนับแต่ต้นปี ให้ทุกคนได้ฉลองชัยในแบบของตัวเองไปกับโค้กตลอดฤดูกาล
โค้กได้นําสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมามอบกับร้านอาหาร โรงแรมและสถานบันเทิงต่างๆ ที่จําหน่ายผลิตภัณฑ์ของโคคา-โคลา ให้สามารถโปรโมทและถ่ายทอดสดบอลโลกในร้านได้ทุกนัด ทุกแมทช์อย่างถูกลิขสิทธิ์ ถือเป็นอภิสิทธิ์พิเศษสําหรับร้านค้าพันธมิตรของโค้กเท่านั้น
ขณะเดียวกันยังเตรียมมอบโชคทองคําแท้มูลค่า 4.15 ล้านบาท ให้ได้ลุ้นทองทุกวัน เชียร์บอลโลกมันส์ทุกแมทช์กับโค้ก ในโปรโมชั่น "เชียร์บอลโลก รวยทองทุกแมทช์กับโค้ก" จัดทายผลผู้ชนะของแต่ละแมทช์
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม ฉลองชัยให้คนไทยในอนาคต เพื่อส่งเสริมสุขภาพและทักษะด้านกีฬาของเยาวชนและประชาชนทั่วไป จึงเตรียมมอบเงิน 1.5 ล้านบาทให้ "การกีฬาแห่งประเทศไทย" เพื่อใช้ในการพัฒนาสนามฟุตบอลท้องถิ่นรวม 15 จังหวัด
โค้กยังนําผู้โชคดีรวม 36 คน บินตรงสู่ประเทศแอฟริกาใต้เพื่อชมการแข่งขันฟุตบอลโลก ได้แก่ ผู้โชคดีจากโปรโมชั่น "ตะลุยบอลโลก ยกแก๊งกับโค้ก" รอบก่อนรองชนะเลิศจํานวนทั้งสิ้น 30 ที่นั่ง และรอบชิงชนะเลิศจํานวน 3 ที่นั่ง ♦
ที่มา : http://www.daradaily.com/news/22705
Coke, Sunsilk, Pepsi แบรนด์โดนใจผู้บริโภค
Coke, Sunsilk, Pepsi แบรนด์โดนใจผู้บริโภค
มายด์แชร์ เผยผลสำรวจดัชนีผู้บริโภค ประจำเดือนพฤษภาคม 2552 “Mindshare Consumer Vibes” ใช้กลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 18-39 ปี จำนวน 300 คน ที่อาศัยในเขตกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ โดยแบบสำรวจนี้ครอบคลุม 5 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย โฆษณาที่ผู้บริโภคจดจำได้ , ดัชนีความสุข , หัวข้อข่าวที่ให้ความสนใจ, กิจกรรมการตลาดเด่น โฆษณาที่จำได้ ความห่วงใยในเรื่องสุขภาพ
มายด์แชร์ ระบุว่า ในช่วงเดือนเมษายน เป็นช่วงแห่งเทศกาลสำคัญหลายเทศกาล โดยมี การจัดงานแฟร์ งานแสดงสินค้า เทศกาลสงกรานต์ ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความสุขในช่วงเวลานี้ ยกเว้นกลุ่มวัยรุ่นอายุ 18-19 ปีซึ่งยังมีความกังวงเกี่ยวกับอนาคตทางการศึกษา และผลสอบเอ็นทรานซ์ อยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ในข่วงเทศกาลสำคัญดังกล่าว นับเป็นอีกช่วงหนึ่งที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าได้เตรียมแคมเปญการตลาด การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโฆณา มากกว่าในช่วงอื่นๆ ซึ่งเป็นช่วงฤดูการขายสินค้าหลายรายการ
ในการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคครั้งนี้ ยังได้สอบถามผู้บริโภคในแง่การจดจำตราผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” (Total Ad Recall) ที่ยังอยู่ในความจดจำในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า แบรนด์ในใจผู้บริโภคที่คิดถึงเป็นอันดับ 1 ได้แก่ โค้ก 22% ตามด้วย ซันซิล 15% เป๊ปซี่ 11% คอลเกต 9% นีเวีย 7% ส่วน บรีส, โออิชิ, โตโยต้า, ฮานามิ และมิสทีน เท่ากันคือ 6% ซึ่งจากผลสำรวจจะพบว่าในช่วงดังกล่าว เครื่องดื่มโค้ก ได้ปูพรมโฆษณา และจัดกิจกรรมอย่างหนักเพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ ขณะที่ซันซิล ได้ อั๊ม พัชราภา ไชยเชื้อ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์และยิงโฆษณาแบบถี่ยิบ
ขณะที่เป๊ปซี ก็มีภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่ดึงนักเตะดาวดังมาร่วมก๊วน และ คอลเกต ยังคงยิงโฆษณาแบบเน้นความถี่อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
โดยแบรนด์ที่ร่วมเป็นสปอนเซอร์ในการจัดกิจกรรมการตลาด ที่ได้รับการพูดถึง ประกอบด้วย ปตท. บาคาร์ดี้ ฮอนด้าแจ๊ส (แจ๊สเฟสติวัล) เอ็ม 150 อีซูซุ โค้ก และแบรนด์ ตราหมี
สำหรับข่าวที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดในช่วงดังกล่าว คือ ข่าวไข้หวัด 2009: 59%, ข่าวการถูกลอบทำร้ายของแกนนำพันธมิตร สนธิ ลิ้มทองกุล 55% และข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง 43% ส่วนการจัดกิจกรรมและการจัดงานในช่วงเดือนเมษายน ที่กลุ่มตัวอย่างให้ความสนใจ ประกอบด้วย 1.งานสงกรานต์ 15% 2.งานเฟอร์นิเจอร์ 9% 3.กิจกรรมทำบุญใส่บาตร 6% 4.งานมอเตอร์โชว์ 4% และ มันนี่เอ็กซ์โป 2%
สอดคล้องกับดัชนีความสุขของผู้บริโภคในช่วงเดือนที่ผ่านมา พุ่งสูงถึง 7.6 ในเดือนเมษายน ก่อนที่จะลดลงเล็กน้อยลงมาอยู่ที่ 7.5 ในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
มายด์แชร์ เผยผลสำรวจดัชนีผู้บริโภค ประจำเดือนพฤษภาคม 2552 “Mindshare Consumer Vibes” ใช้กลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 18-39 ปี จำนวน 300 คน ที่อาศัยในเขตกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ โดยแบบสำรวจนี้ครอบคลุม 5 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย โฆษณาที่ผู้บริโภคจดจำได้ , ดัชนีความสุข , หัวข้อข่าวที่ให้ความสนใจ, กิจกรรมการตลาดเด่น โฆษณาที่จำได้ ความห่วงใยในเรื่องสุขภาพ
มายด์แชร์ ระบุว่า ในช่วงเดือนเมษายน เป็นช่วงแห่งเทศกาลสำคัญหลายเทศกาล โดยมี การจัดงานแฟร์ งานแสดงสินค้า เทศกาลสงกรานต์ ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความสุขในช่วงเวลานี้ ยกเว้นกลุ่มวัยรุ่นอายุ 18-19 ปีซึ่งยังมีความกังวงเกี่ยวกับอนาคตทางการศึกษา และผลสอบเอ็นทรานซ์ อยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ในข่วงเทศกาลสำคัญดังกล่าว นับเป็นอีกช่วงหนึ่งที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าได้เตรียมแคมเปญการตลาด การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโฆณา มากกว่าในช่วงอื่นๆ ซึ่งเป็นช่วงฤดูการขายสินค้าหลายรายการ
ในการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคครั้งนี้ ยังได้สอบถามผู้บริโภคในแง่การจดจำตราผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” (Total Ad Recall) ที่ยังอยู่ในความจดจำในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า แบรนด์ในใจผู้บริโภคที่คิดถึงเป็นอันดับ 1 ได้แก่ โค้ก 22% ตามด้วย ซันซิล 15% เป๊ปซี่ 11% คอลเกต 9% นีเวีย 7% ส่วน บรีส, โออิชิ, โตโยต้า, ฮานามิ และมิสทีน เท่ากันคือ 6% ซึ่งจากผลสำรวจจะพบว่าในช่วงดังกล่าว เครื่องดื่มโค้ก ได้ปูพรมโฆษณา และจัดกิจกรรมอย่างหนักเพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ ขณะที่ซันซิล ได้ อั๊ม พัชราภา ไชยเชื้อ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์และยิงโฆษณาแบบถี่ยิบ
ขณะที่เป๊ปซี ก็มีภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่ดึงนักเตะดาวดังมาร่วมก๊วน และ คอลเกต ยังคงยิงโฆษณาแบบเน้นความถี่อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
โดยแบรนด์ที่ร่วมเป็นสปอนเซอร์ในการจัดกิจกรรมการตลาด ที่ได้รับการพูดถึง ประกอบด้วย ปตท. บาคาร์ดี้ ฮอนด้าแจ๊ส (แจ๊สเฟสติวัล) เอ็ม 150 อีซูซุ โค้ก และแบรนด์ ตราหมี
สำหรับข่าวที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดในช่วงดังกล่าว คือ ข่าวไข้หวัด 2009: 59%, ข่าวการถูกลอบทำร้ายของแกนนำพันธมิตร สนธิ ลิ้มทองกุล 55% และข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง 43% ส่วนการจัดกิจกรรมและการจัดงานในช่วงเดือนเมษายน ที่กลุ่มตัวอย่างให้ความสนใจ ประกอบด้วย 1.งานสงกรานต์ 15% 2.งานเฟอร์นิเจอร์ 9% 3.กิจกรรมทำบุญใส่บาตร 6% 4.งานมอเตอร์โชว์ 4% และ มันนี่เอ็กซ์โป 2%
สอดคล้องกับดัชนีความสุขของผู้บริโภคในช่วงเดือนที่ผ่านมา พุ่งสูงถึง 7.6 ในเดือนเมษายน ก่อนที่จะลดลงเล็กน้อยลงมาอยู่ที่ 7.5 ในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"โค้ก"ผสาน 2 แบรนด์ สร้างกระแส
"โค้ก"ผสาน 2 แบรนด์ สร้างกระแสความนิยมในตลาดน้ำอัดลมอีกครั้ง
ผ่ากลยุทธ์การทำตลาดของ โค้ก ในเชิงรุก ผสาน 2 แบรนด์ เปิดเกมระลอกแรกในสมรภูมิตลาดน้ำดำปราศจากน้ำตาล ต่อเนื่องด้วยการเปิดแคมเปญใหม่ส่งท้ายปี โค้ก ออริจินัล ทุ่มงบ 100 ล้านบาท เป้าหมายตอกย้ำแบรนด์ ให้ครองใจคนทั่วโลก
หลังจากเปิดตัว"โค้ก ซีโร่"ออกสู่ตลาดพร้อมกัน 100 ประเทศ เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา แนวทางการทำตลาดของโค้ก ในเมืองไทยก็ได้ปรับรูปแบบมาดำเนินการตลาดในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงปีนี้ ถือว่าเป็นปีแห่งการบุกตลาดแบบครบวงจร ของการทำตลาดน้ำดำของโคคา-โคลา (ประเทศไทย)
จากจุดเริ่มต้นของการทำตลาดด้วยกลยุทธ์ Pull strategy ที่ใช้การสื่อสารการตลาดผ่านสื่อครบวงจร ด้วยงบ 50 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และการทำตลาดสร้างประสบการณ์ (Experiential Marketing) ในการทดลองดื่มที่มีมิสเตอร์ซีโร่ทำหน้าที่แจกผลิตภัณฑ์ โค้ก ซีโร่ ได้เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มในเมืองเป็นหลัก ภายใต้การสร้างกระแส Product Trend ที่มีจุดเด่นทางด้านผลิตภัณฑ์คือ "ไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมแต่มีรสชาติที่ใกล้เคียงกับโค้กออริจินัลสูตรดั้งเดิม" และแพกเกจจิ้ง "ดำนำเทรนด์" เป็นแนวทางในการทำตลาด
ล่าสุดกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ได้มีการเคลื่อนไหวในตลาดน้ำดำแบบออริจินัลของ "โค้ก" ฉลองความเป็นผู้นำตลาด ในฐานะแบรนด์ยอดนิยมที่มีมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท สูงสุดอันดับ 1 ของโลก 8 ปีซ้อน จาก"อินเตอร์แบรนด์" บริษัทที่ปรึกษาด้านการผลิตตราสัญลักษณ์ โดยทุ่มงบ 100 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดในช่วงไตรมาสสี่ปีนี้เพื่อจัดแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี "อย่างเนี้ย... ต้องโค้ก" จัดกิจกรรมการตลาดครบวงจร ตอกย้ำแบรนด์ในใจของผู้บริโภค พร้อมต่อยอดจากปัจจุบัน โค้กซีโร่ถือเป็นผู้นำตลาด ในกลุ่มน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล
การเคลื่อนไหวในตลาดน้ำดำแบบออริจินัลของ "โค้ก" มีตั้งแต่การทำตลาดเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ความซ่าสดชื่นไม่มีใครเหมือน ผ่านแคมเปญ "โค้ก เพอร์เฟ็คต์ เสิร์ฟ" ให้ผู้บริโภคไทยทั่วประเทศ 1 ล้านคน ได้ลิ้มลองรสชาติเช่นเดียวกับผู้คนทั่วโลก
ตามด้วยการจัดกิจกรรม"เทศกาลซ่า..ยกโลก โค้กเฟสติวัล" ที่ลานเซ็นทรัลเวิลด์สแควร์ ในวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา สื่อสิ่งพิมพ์ สปอตวิทยุ โดยนำเสนอโฆษณาสั้น 3 เรื่อง ผ่านจอ LED ขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดความสนใจกับผู้บริโภค นอกจากนั้นภายในงานยังมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ บาร์ดีไซน์ปล่อยไอเย็น และคอนเสิร์ตจากศิลปินดัง
ต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ทางด้านแพกเกจจิ้งแต่ละรูปแบบ ล่าสุดวางจำหน่ายโค้ก ซีโร่ ขนาดใหม่ 10 ออนซ์ แบบคืนขวด ในร้านอาหาร ราคา 8 บาท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีทั้งนี้เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดในการสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคแต่ละช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องกดตามร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารจานด่วน จากปัจจุบันโค้ก ซีโร่มี 5 ขนาด 5 ราคา ได้แก่ ขวดกริ๊ป ขนาด 500 มิลลิลิตร, ขวดแก้ว 250 มิลลิลิตร, แบบกระป๋อง ขนาด 325, ขวดเพ็ต ขนาด 600 มิลลิลิตร, ขวดเพ็ต ขนาดใหญ่ 1.25 ลิตร และจำหน่ายในรูปแบบเครื่องกด ตามร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารจานด่วน
วสุ มโนมัยพิบูลย์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เพื่อสร้างโอกาสตลาด และขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคที่ยังไม่เคยลองดื่มโค้กซีโร่ น้ำตาล 0% ภายในสิ้นปีนี้ บริษัทได้วางเป้าหมายที่จะแจกโค้ก ซีโร่ ให้ผู้บริโภคได้พิสูจน์รสชาติ 3 ล้านขวด ตามแหล่งยอดนิยมของวัยทีนและคนทำงานทั่วกรุงเทพฯ เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
เหตุผล 2 ประการทั้งรูปแบบการสื่อสารการตลาดที่เน้นสื่อสารด้านรสชาติ และแพกเกจจิ้งนั้น ทำให้โค้ก ซีโร่ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลได้ถึง 61% จากตลาดรวมมูลค่า 2 พันล้านบาท
อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ โค้ก ซีโร่ มีข้อได้เปรียบกว่า"เป๊ปซี่ แมกซ์"ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล และทำให้ "โค้ก ซีโร่" ได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภค อีกทั้งเป็นแนวทางสำหรับการทำตลาดของ โค้ก ซีโร่ ในปีนี้เช่นเดียวกัน โดยระลอกแรกเมื่อกลางปีนี้ ได้ทุ่มงบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวแคมเปญ Generation Zero เพื่อสร้าง Lifestyle Trend
ขณะที่ทางด้านความเคลื่อนไหวของ เป๊ปซี่ แมกซ์ ที่ผ่านมานั้น พยายามรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดที่เป็นผู้เข้ามาเปิดตลาดก่อน เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทำตลาดเชิงรุก โดยเทงบ 44 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวแนวคิด "0 แคลอรี เต็มที่ทุกสัมผัส" ซึ่งเป็นการรีแบรนด์และปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่มีรูปลักษณ์ทันสมัยเปลี่ยนสีกระป๋องจากน้ำเงินเป็นดำ
รวมทั้งภาพยนตร์โฆษณาใหม่ 5 เรื่อง ที่มีพรีเซนเตอร์ 5 คน เป็นสัญลักษณ์ทำหน้าที่สื่อสารความรู้สึก "เต็มที่เมื่อดื่มเป๊ปซี่ แมกซ์" ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการขยายช่องทางจำหน่ายแบบคืนขวด หรือ returnable ทั้งขนาด 10 ออนซ์ และ 15 ออนซ์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีสัดส่วนการขายใหญ่ที่สุดของตลาดน้ำอัดลม หรือประมาณ 80% ของตลาดรวมน้ำอัดลม มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่เป็นตัวแปรทำให้ "โค้ก" หันมาบุกตลาดน้ำอัดลมที่อยู่ในช่วงขาลง นั่นเพราะมี "โค้ก ซีโร่" เป็นแบรนด์หลักในการทำตลาด ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมกลุ่มผู้บริโภคคนเมืองที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ เป็นหัวรบอย่างดีที่อาจจะทำให้ "โค้ก" ช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจาก "เป๊ปซี่" แบรนด์คู่แข่งที่เป็นอันดับหนึ่งในตลาด พร้อมทั้งผงาดขึ้นมาในตลาดรวมน้ำดำหลังจากที่เป็นรองคู่แข่งมาเป็นเวลาหลายปี อีกทั้งบริษัทแม่ของโค้กยังคงให้ความสำคัญกับการทำตลาดในไทยอยู่ เพราะไทยถือเป็น 1 ใน 20 ประเทศ ที่เป็นตลาดสำคัญของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาทั่วโลก
ไม่เพียงเท่านั้น การทำตลาดในเชิงรุกด้วย "โค้ก ซีโร่"นอกจากจะเป็นการขยายฐานลูกค้าแล้ว ยังเป็นการวางหมากเพื่อที่จะทำให้โค้กสามารถปกป้องตลาดในอนาคตเอาไว้อีกด้วย เนื่องจากแนวโน้มการตอบรับกระแสน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น จากการที่โค้ก ซีโร่ และเป๊ปซี่ แมกซ์ พยายามผลักดันให้เป็นเครื่องดื่มสำหรับตลาดในหัวเมือง และค่อยๆ ขยายฐานออกในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ และเมื่อถึงช่วงเวลาที่ตลาดน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลประสบความสำเร็จนั้นก็อาจจะทำให้ยอดขายน้ำดำแบบออริจินัล สูตรดั้งเดิมมีการเติบโตที่ลดลง
ปรากฏการณ์ที่ผู้บริโภคกลุ่มหลักที่เคยดื่มน้ำดำแบบออริจินัล จะสวิตชิ่งมาดื่มน้ำดำปราศจากน้ำตาล และทำให้ส่วนแบ่งตลาดน้ำดำแบบออริจินัลลดลง และยอดขายแบบปราศจากน้ำตาลเพิ่มขึ้นนั้น ได้เคยเกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศ และเพื่อรับมือกับเหตุการณ์นี้ทำให้โคคา-โคลาเปิดตัวโค้ก C2 หรือโคล่าที่มีแคลอรีเพียงครึ่งหนึ่งของโค้กสูตรดั้งเดิมออกมาทำตลาด
ทั้งนี้ความพยายามของทั้ง 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำอัดลม ที่โค้ก ซีโร่ และเป๊ปซี่ แมกซ์ ลงมาเปิดเกมแข่งขันกันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์และจุดเด่นผลิตภัณฑ์ เพื่อฐานลูกค้าในเมือง รวมถึงการเร่งขยายฐานกลุ่มคนดื่มด้วยการออกบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วแบบคืนขวด ที่แม้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในร้านอาหาร และร้านโชวห่วย ตอบสนองกลุ่มผู้ดื่มที่อยากดื่มน้ำดำที่มีไลฟ์สไตล์รักสุขภาพ เพิ่มเติมจากเดิมที่มีสินค้าวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชันนัลเทรด
ทว่าการเติบโตที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในตลาดแมส และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในตลาดน้ำอัดลม ที่ทำให้น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล เป็นสมรภูมิที่ร้อนแรง เช่นเดียวกับ น้ำอัดลมสูตรดั้งเดิม ที่สถานการณ์ปัจจุบันถูกรุมเร้าจากค่ายน้ำอัดลมโลว์คอสต์หลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น เมกกะ โคล่า เครื่องดื่มน้ำดำสัญชาติฝรั่งเศส และอาเจ บิ๊ก โคล่า ของประเทศเปรู และการกลับมาของกระทิงแดงโคล่า
ดังนั้นในวินาทีนี้ หากใครสามารถยึดตลาดน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลได้ก่อน นั่นหมายถึงก้าวสำคัญในการครองตำแหน่งผู้นำตลาดน้ำอัดลมที่มีมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาทด้วยเช่นกัน
ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์5 พฤศจิกายน 2551
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=74760
ผ่ากลยุทธ์การทำตลาดของ โค้ก ในเชิงรุก ผสาน 2 แบรนด์ เปิดเกมระลอกแรกในสมรภูมิตลาดน้ำดำปราศจากน้ำตาล ต่อเนื่องด้วยการเปิดแคมเปญใหม่ส่งท้ายปี โค้ก ออริจินัล ทุ่มงบ 100 ล้านบาท เป้าหมายตอกย้ำแบรนด์ ให้ครองใจคนทั่วโลก
หลังจากเปิดตัว"โค้ก ซีโร่"ออกสู่ตลาดพร้อมกัน 100 ประเทศ เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา แนวทางการทำตลาดของโค้ก ในเมืองไทยก็ได้ปรับรูปแบบมาดำเนินการตลาดในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงปีนี้ ถือว่าเป็นปีแห่งการบุกตลาดแบบครบวงจร ของการทำตลาดน้ำดำของโคคา-โคลา (ประเทศไทย)
จากจุดเริ่มต้นของการทำตลาดด้วยกลยุทธ์ Pull strategy ที่ใช้การสื่อสารการตลาดผ่านสื่อครบวงจร ด้วยงบ 50 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และการทำตลาดสร้างประสบการณ์ (Experiential Marketing) ในการทดลองดื่มที่มีมิสเตอร์ซีโร่ทำหน้าที่แจกผลิตภัณฑ์ โค้ก ซีโร่ ได้เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มในเมืองเป็นหลัก ภายใต้การสร้างกระแส Product Trend ที่มีจุดเด่นทางด้านผลิตภัณฑ์คือ "ไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมแต่มีรสชาติที่ใกล้เคียงกับโค้กออริจินัลสูตรดั้งเดิม" และแพกเกจจิ้ง "ดำนำเทรนด์" เป็นแนวทางในการทำตลาด
ล่าสุดกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ได้มีการเคลื่อนไหวในตลาดน้ำดำแบบออริจินัลของ "โค้ก" ฉลองความเป็นผู้นำตลาด ในฐานะแบรนด์ยอดนิยมที่มีมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท สูงสุดอันดับ 1 ของโลก 8 ปีซ้อน จาก"อินเตอร์แบรนด์" บริษัทที่ปรึกษาด้านการผลิตตราสัญลักษณ์ โดยทุ่มงบ 100 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดในช่วงไตรมาสสี่ปีนี้เพื่อจัดแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี "อย่างเนี้ย... ต้องโค้ก" จัดกิจกรรมการตลาดครบวงจร ตอกย้ำแบรนด์ในใจของผู้บริโภค พร้อมต่อยอดจากปัจจุบัน โค้กซีโร่ถือเป็นผู้นำตลาด ในกลุ่มน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล
การเคลื่อนไหวในตลาดน้ำดำแบบออริจินัลของ "โค้ก" มีตั้งแต่การทำตลาดเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ความซ่าสดชื่นไม่มีใครเหมือน ผ่านแคมเปญ "โค้ก เพอร์เฟ็คต์ เสิร์ฟ" ให้ผู้บริโภคไทยทั่วประเทศ 1 ล้านคน ได้ลิ้มลองรสชาติเช่นเดียวกับผู้คนทั่วโลก
ตามด้วยการจัดกิจกรรม"เทศกาลซ่า..ยกโลก โค้กเฟสติวัล" ที่ลานเซ็นทรัลเวิลด์สแควร์ ในวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา สื่อสิ่งพิมพ์ สปอตวิทยุ โดยนำเสนอโฆษณาสั้น 3 เรื่อง ผ่านจอ LED ขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดความสนใจกับผู้บริโภค นอกจากนั้นภายในงานยังมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ บาร์ดีไซน์ปล่อยไอเย็น และคอนเสิร์ตจากศิลปินดัง
ต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ทางด้านแพกเกจจิ้งแต่ละรูปแบบ ล่าสุดวางจำหน่ายโค้ก ซีโร่ ขนาดใหม่ 10 ออนซ์ แบบคืนขวด ในร้านอาหาร ราคา 8 บาท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีทั้งนี้เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดในการสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคแต่ละช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องกดตามร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารจานด่วน จากปัจจุบันโค้ก ซีโร่มี 5 ขนาด 5 ราคา ได้แก่ ขวดกริ๊ป ขนาด 500 มิลลิลิตร, ขวดแก้ว 250 มิลลิลิตร, แบบกระป๋อง ขนาด 325, ขวดเพ็ต ขนาด 600 มิลลิลิตร, ขวดเพ็ต ขนาดใหญ่ 1.25 ลิตร และจำหน่ายในรูปแบบเครื่องกด ตามร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารจานด่วน
วสุ มโนมัยพิบูลย์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เพื่อสร้างโอกาสตลาด และขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคที่ยังไม่เคยลองดื่มโค้กซีโร่ น้ำตาล 0% ภายในสิ้นปีนี้ บริษัทได้วางเป้าหมายที่จะแจกโค้ก ซีโร่ ให้ผู้บริโภคได้พิสูจน์รสชาติ 3 ล้านขวด ตามแหล่งยอดนิยมของวัยทีนและคนทำงานทั่วกรุงเทพฯ เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
เหตุผล 2 ประการทั้งรูปแบบการสื่อสารการตลาดที่เน้นสื่อสารด้านรสชาติ และแพกเกจจิ้งนั้น ทำให้โค้ก ซีโร่ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลได้ถึง 61% จากตลาดรวมมูลค่า 2 พันล้านบาท
อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ โค้ก ซีโร่ มีข้อได้เปรียบกว่า"เป๊ปซี่ แมกซ์"ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล และทำให้ "โค้ก ซีโร่" ได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภค อีกทั้งเป็นแนวทางสำหรับการทำตลาดของ โค้ก ซีโร่ ในปีนี้เช่นเดียวกัน โดยระลอกแรกเมื่อกลางปีนี้ ได้ทุ่มงบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวแคมเปญ Generation Zero เพื่อสร้าง Lifestyle Trend
ขณะที่ทางด้านความเคลื่อนไหวของ เป๊ปซี่ แมกซ์ ที่ผ่านมานั้น พยายามรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดที่เป็นผู้เข้ามาเปิดตลาดก่อน เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทำตลาดเชิงรุก โดยเทงบ 44 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวแนวคิด "0 แคลอรี เต็มที่ทุกสัมผัส" ซึ่งเป็นการรีแบรนด์และปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่มีรูปลักษณ์ทันสมัยเปลี่ยนสีกระป๋องจากน้ำเงินเป็นดำ
รวมทั้งภาพยนตร์โฆษณาใหม่ 5 เรื่อง ที่มีพรีเซนเตอร์ 5 คน เป็นสัญลักษณ์ทำหน้าที่สื่อสารความรู้สึก "เต็มที่เมื่อดื่มเป๊ปซี่ แมกซ์" ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการขยายช่องทางจำหน่ายแบบคืนขวด หรือ returnable ทั้งขนาด 10 ออนซ์ และ 15 ออนซ์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีสัดส่วนการขายใหญ่ที่สุดของตลาดน้ำอัดลม หรือประมาณ 80% ของตลาดรวมน้ำอัดลม มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่เป็นตัวแปรทำให้ "โค้ก" หันมาบุกตลาดน้ำอัดลมที่อยู่ในช่วงขาลง นั่นเพราะมี "โค้ก ซีโร่" เป็นแบรนด์หลักในการทำตลาด ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมกลุ่มผู้บริโภคคนเมืองที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ เป็นหัวรบอย่างดีที่อาจจะทำให้ "โค้ก" ช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจาก "เป๊ปซี่" แบรนด์คู่แข่งที่เป็นอันดับหนึ่งในตลาด พร้อมทั้งผงาดขึ้นมาในตลาดรวมน้ำดำหลังจากที่เป็นรองคู่แข่งมาเป็นเวลาหลายปี อีกทั้งบริษัทแม่ของโค้กยังคงให้ความสำคัญกับการทำตลาดในไทยอยู่ เพราะไทยถือเป็น 1 ใน 20 ประเทศ ที่เป็นตลาดสำคัญของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาทั่วโลก
ไม่เพียงเท่านั้น การทำตลาดในเชิงรุกด้วย "โค้ก ซีโร่"นอกจากจะเป็นการขยายฐานลูกค้าแล้ว ยังเป็นการวางหมากเพื่อที่จะทำให้โค้กสามารถปกป้องตลาดในอนาคตเอาไว้อีกด้วย เนื่องจากแนวโน้มการตอบรับกระแสน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น จากการที่โค้ก ซีโร่ และเป๊ปซี่ แมกซ์ พยายามผลักดันให้เป็นเครื่องดื่มสำหรับตลาดในหัวเมือง และค่อยๆ ขยายฐานออกในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ และเมื่อถึงช่วงเวลาที่ตลาดน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลประสบความสำเร็จนั้นก็อาจจะทำให้ยอดขายน้ำดำแบบออริจินัล สูตรดั้งเดิมมีการเติบโตที่ลดลง
ปรากฏการณ์ที่ผู้บริโภคกลุ่มหลักที่เคยดื่มน้ำดำแบบออริจินัล จะสวิตชิ่งมาดื่มน้ำดำปราศจากน้ำตาล และทำให้ส่วนแบ่งตลาดน้ำดำแบบออริจินัลลดลง และยอดขายแบบปราศจากน้ำตาลเพิ่มขึ้นนั้น ได้เคยเกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศ และเพื่อรับมือกับเหตุการณ์นี้ทำให้โคคา-โคลาเปิดตัวโค้ก C2 หรือโคล่าที่มีแคลอรีเพียงครึ่งหนึ่งของโค้กสูตรดั้งเดิมออกมาทำตลาด
ทั้งนี้ความพยายามของทั้ง 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำอัดลม ที่โค้ก ซีโร่ และเป๊ปซี่ แมกซ์ ลงมาเปิดเกมแข่งขันกันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์และจุดเด่นผลิตภัณฑ์ เพื่อฐานลูกค้าในเมือง รวมถึงการเร่งขยายฐานกลุ่มคนดื่มด้วยการออกบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วแบบคืนขวด ที่แม้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในร้านอาหาร และร้านโชวห่วย ตอบสนองกลุ่มผู้ดื่มที่อยากดื่มน้ำดำที่มีไลฟ์สไตล์รักสุขภาพ เพิ่มเติมจากเดิมที่มีสินค้าวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชันนัลเทรด
ทว่าการเติบโตที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในตลาดแมส และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในตลาดน้ำอัดลม ที่ทำให้น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล เป็นสมรภูมิที่ร้อนแรง เช่นเดียวกับ น้ำอัดลมสูตรดั้งเดิม ที่สถานการณ์ปัจจุบันถูกรุมเร้าจากค่ายน้ำอัดลมโลว์คอสต์หลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น เมกกะ โคล่า เครื่องดื่มน้ำดำสัญชาติฝรั่งเศส และอาเจ บิ๊ก โคล่า ของประเทศเปรู และการกลับมาของกระทิงแดงโคล่า
ดังนั้นในวินาทีนี้ หากใครสามารถยึดตลาดน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลได้ก่อน นั่นหมายถึงก้าวสำคัญในการครองตำแหน่งผู้นำตลาดน้ำอัดลมที่มีมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาทด้วยเช่นกัน
ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์5 พฤศจิกายน 2551
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=74760
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553
กลยุทธ์ทางการตลาดของโค้ก
วิวัฒนาการของ Coke
น้ำอัดลมประเภท Cola ได้ถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกขึ้นในปี 1886 เริ่มโดยนักเภสัชศาสตร์ได้ทำการขายเครื่องดื่มโซดาแบบแก้วในร้านขายยา และสูตรเครื่องดื่มนี้ได้เป็นที่นิยม และเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้ชื่อ Coke จนกระทั่ง Coke ได้มีการขายแฟรนไชส์ โดยที่ Coke นั้นได้พยายามที่จะทำให้สินค้ามีอยู่ในทุกที่ ลูกค้าสามารถหาซื้อได้ตามสะดวก รวมทั้ง Coke ก็ได้มีการปรับตัวไปตามสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
ในตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษที่ 1990 ตลาด Cola ยังครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 คือ 60% - 70% นอกเหนือจาก น้ำมะนาว รูทเบียร์ น้ำส้ม และอื่น ๆ ส่วนประกอบของผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม จะประกอบด้วย 4 ส่วนหลักได้แก่
1. ผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำหวาน เป็นผู้ทำหน้าที่นำวัตถุดิบมาผสมกัน (ยกเว้นสารให้ความหวาน) และส่งไปยังผู้บรรจุขวด การลงทุนในสินทรัพย์ของผู้ผลิตไม่มากนัก แต่จะต้องลงทุนสูงในเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การวางแผนการผลิต การทำวิจัยทางการตลาด กิจกรรมทางการตลาดกับผู้บริโภค การทำเครื่องหมายการค้า รวมถึงการพัฒนาความสามารถของผู้บรรจุขวด
2. ผู้บรรจุขวด จะมีสัญญากับทางผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำหวานในการทำการเติมสารให้ความหวานและบรรจุขวด พร้อมทั้งส่งไปยังร้านจำหน่าย เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงดูแลการจัดวางสินค้า การโฆษณา ณ จุดขาย การจัด Layout ในการลงทุนของผู้บรรจุขวด ส่วนใหญ่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเครื่องจักรมากที่สุด ในเริ่มแรกการทำสัญญากันระหว่างผู้ปลิตหัวเชื้อน้ำหวานและผู้บรรจุขวดจะทำในลักษณะแฟรนไชน์
3. ร้านค้า ในปี 2000 ช่องทางการจัดจำหน่ายของน้ำอัดลมในสหรัฐอเมริกาจะผ่านทางร้านอาหาร 35% ผ่านทางที่จำหน่ายน้ำอัดลมแบบกด (Fountain Outlet) 23% ตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ 14% ร้านสะดวกซื้อ 9% และอื่นๆ อีก 20% ได้แก่ ร้านที่เป็นแบบคลังสินค้าแบบสมาชิกร้านขายยา ต้นทุนมีผลมากจากวิธีการและความถี่ในการส่ง
4. ผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบให้กับหัวเชื้อน้ำหวานและผู้บรรจุขวด วัตถุดิบที่จำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำหวาน ได้แก่ สีคาราเมล กรดฟอสฟอริก กรดผลไม้ สารปรุงรสจากธรรมชาติ และคาเฟอีน ส่วนวัตถุดิบที่จำหน่ายให้แก่ผู้บรรจุขวด ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ ประเภท กระป๋อง ขวดพลาสติก ขวดแก้ว และสารให้ความหวาน ประเภทน้ำตาล และฟรุคโตส
Cola Wars Heat Up
ในปี 1980 โค้กได้เปลี่ยนจากการใช้น้ำตาลอ้อยมาเป็นน้ำตาลฟรุคโตส ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลในราคาที่ต่ำ โค้กได้มีความพยายามทำการตลาดให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นโดยการทุ่มเงินลงทุนในโฆษณาจำนวนสูง และโค้กก็ได้พยายามขยายกิจการไปยังตลาดเครื่องดื่ม non - CSD และต่อมา โค้กก็ได้ขยายแบรนด์ด้วยการออก "Coke Diet" ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสูตรของโค้กกลับไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีจากตลาด ทำให้โค้กต้องกลับมาใช้สูตรเครื่องดื่มเดิมเป็นผลิตภัณฑ์หลัก
Bottler consolidation and spin-off
โค้กเริ่มซื้อกิจการ Bottler มาเป็นของตนเอง และได้ก่อตั้ง Coca Cola Enterprises (CCE) ซึ่งเป็นบริษัท Bottler ที่อยู่ในเครือของ โค้ก เอง ซึ่งการทำแบบนี้เป็นผลดีเพราะสามารถบริการจัดการด้าน Bottler และผลิตสินค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เมื่อมาถึงช่วงปี 2000 นั้น ยอดขายได้ลดลง นั่นทำให้การลงทุนใน Bottler กลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่า เพราะลงทุนสูง แต่กำไรน้อยลง
Internationalizing the cola war
Coke มองตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อการเติบโต ปี1991-2000 ได้บุกตลาด จีน อินเดียยุโรปตะวันตกแต่ตลาดต่างประเทศเหล่านี้ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐ ซึ่ง coke มีสัดส่วนทางยุโรปตะวันตก ละตินอเมริกา และ โค้กยังได้ชื่อที่เป็นสากลสำหรับวัฒนธรรมของชาวอเมริกันซึ่ง Concentrate producer ของทั้งโค้กได้ประสบอุปสรรคมากมายในตลาดต่างประเทศทั้งวัฒนธรรมต่างๆ การเมือง กฏระเบียบ การควบคุมราคา การโฆษณา อัตราแลกเปลี่ยน และโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่ง Coke ได้ริเริ่มแนวกลยุทธ์ต่างๆเพื่อการเข้าถึง แต่ในปลายทศวรรษ 90 นั้นตลาดต่างประเทศก็มียอดขายตกต่ำลงเช่นเดียวกับในสหรัฐฯ ซึ่งก็ทำให้กำไรลดต่ำลง แต่โค้กได้รับผลกระทบมากเพราะมีสัดส่วนตลาดต่างประเทศมากกว่า
กลยุทธ์ที่ใช้ในปัจจุบัน
1. "Coke" ได้ทำการวางน้ำอัดลมบริเวณด้านหน้าซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อดึงดูดลูกค้าและให้เทางซุเปอร์มาเก็ตบริหารการขนส่งสินค้าไปที่หน้าร้านรวมถึงปริมาณการเก็บสินค้า
2. "Coke" ให้ส่วนลดกลับไปยังผู้ซื้อเช่นร้านเฟรนไชน์ของ Burger King เชื่อว่าได้จ่ายค่าหัวเชื้อน้ำหวานให้กับ "Coke" ในราคาโดยประมาณคือ 6.2 เหรียญฯต่อแกลลอน แต่ตอนสิ้นปีก็ได้รับส่วนลด (rebate) อย่างมากเป็นเช็คเงินสด อย่างเช่นร้าน Burger King สาขาในภาคกลางของฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯแห่งหนึ่งกล่าวว่าได้รับส่วนลดประจำปีถึง 1.45 เหรียญฯ ต่อแกลลอนหรือประมาณ 23%.
3. การลงทุนทางด้านโฆษณารวมทั้งอุปกรณ์ส่งเสริมการขายของน้ำอัดลม ณ.จุดขาย
4. "Coke" หาลูกค้ากลุ่มอื่นๆ โดยใช้ช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ เช่น ร้าน McDonald's และ Burger King
5. "Coke" บริหารจัดการลูกค้าเครื่องกดน้ำโดยใช้ เฟรนไชน์ระดับชาติของตัวเอง ผู้ซื้อเฟรนไชน์จะทำการต่อรองและทำข้อตกลงในเรื่องสิทธิขายน้ำจากเครื่องกดซึ่งในบางกรณีกับร้านเครือข่ายขนาดใหญ่
7. "Coke" ใช้การจูงใจโดยให้ส่วนลดแก่บริษัทบรรจุขวดเพื่อให้บริษัทเหล่านี้ทำการติดตั้งตู้จ่ายน้ำอัตโนมัติ เจ้าของพื้นที่ที่ให้ทำการวางตู้จ่ายน้ำอัตโนมัติปกติก็จะได้รับค่าคอมฯ
8. "Coke" ใช้กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับบริษัทขายส่งวัตถุดิบของบริษัทที่มีกับบริษัทผลิตกระป๋อง "Coke" ช่วยบริษัทบรรจุขวดในการต่อรองกับบริษัทผลิตกระป๋อง เนื่องจากต้นทุนของกระป๋องมีมูลค่าประมาณ 40% ของต้นทุนทั้งหมดของสินค้าบรรจุภัณฑ์ บริษัทบรรจุขวดและบริษัทผลิตหัวเชื้อน้ำหวานจะรักษาความสัมพันธ์กับบริษัทขายส่งวัตถุดิบนี้มากกว่าหนึ่งเจ้า
Strength
- Coke เป็นผู้ที่เข้ามาเปิดตลาดเป็นรายแรกทำเป็นที่สนใจและดึงดูดใจของผู้บริโภคซึ่งสร้างความรู้สึกให้กับตัว ผลิตภัณฑ์ว่า เป็น ของแท้
- เป็น Global Brand ที่สั่งสมความน่าเชื่อถือมายาวนาน
-มี Positioning ที่ชัดเจนทำให้ผู้บริโภคจดจำ Brand ได้อย่างแม่นยำ ไม่สับสนกับ Brand อื่น
-เป็น Brand ที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งเกิดจากการรับรู้ของผู้บริโภค ทำให้คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบ และทำการแข่งขันได้อยาก
- เป็นผู้นำทางการตลาดมีสัดส่วนในการครองตลาดน้ำดื่ม CSD สูง ( Market share leadership)
- Brand Perception มียี่ห้อที่เป็นที่จดจำและอยู่ในใจของผู้บริโภคย่อมแสดงถึงความสามารถในการ
เข้าถึงลูกค้าได้เป็นอย่างดี รวมทั้งการมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
- การที่ Coke เข้ามาในระยะเวลาที่ยาวนานและสามารถครองตลาดได้เป็นอย่างดีและต่อเนื่องนั้นทำ
ให้ Coke สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจได้ดี ส่งผลให้มีอำนาจในการต่อรองกับคู่ค้าและธุรกิจที่
เกี่ยวข้องได้มาก
- Coke เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เนื่องจากการเปิดตลาดออกไปอย่างแพร่หลาย
- มีการตลาดที่ดี เช่น การทำ promotion ในช่วงเวลาต่างๆอย่างเหมาะสม การวางแผนการตลาดด้าน
ต่างๆรวมถึง Advertisement ด้วย
- เป็นผู้นำตลาดทางด้าน fountain market เนื่องจาก Coke เริ่มบุกตลาดทางด้านนี้ก่อน brand อื่นๆ
เช่น ในปี 2000 Coke มีสัดส่วนตลาดนี้ถึง 65%
- เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีฐานการผลิตกว้างขวาง ครอบคลุมทั่วโลก
- เป็น Brand ที่ผู้บริโภคมี Loyalty สูง เนื่องจากไม่เพียงแต่ทำให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ของตนเองเท่านั้นยังสามารถทำให้ผู้บริโภคมีความรักกับ Brand ได้อีกด้วย
-โค้กใช้ กลยุทธ์ Emotional Marketing และ Lifestyle "มีทัศนคติด้านบวกและมองโลกในแง่ดี" หรือ "ดื่มโค้กแล้วทำให้มีความสุข" จาก แคมเปญ Coke Slide of Life เป็นแคมเปญ ที่เน้นกันที่ Emotional ล้วนๆ เพื่อต้องการสร้างความรู้สึกขึ้นในใจของให้ผู้บริโภค และใช้อารมณ์ความรู้สึกในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีความสร้างสรรค์และตรงใจผุ้บริโภคเป็นอย่างมาก
Weakness
- การที่ Coke จะเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นั้นย่อมเป็นไปได้ยาก เนื่องจาก Coke เป็นที่รู้จักของ ผู้บริโภคในด้านน้ำดื่มโคล่า ซึ่งการที่จะขยายไปในด้านอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่ผู้บริโภคจะให้ความสนใจและเชื่อถือ ซึ่งถ้าขยายความกว้างของผลิตภัณฑ์มากไปจะทำให้สินค้าโคล่านี้อ่อนกำลังไปด้วย-มีความเป็นนักอนุรักษ์(Conservative ทำให้การปรับตัวของบริษัทไม่ทันกับคู่แข่งรายอื่นๆ- มีสายการผลิตที่กว้างมากจนยากที่จะควบคุมการผลิต- โค้กมักถูกมองว่าไม่มี Innovation จะเห็นได้จาก Line สินค้าที่มีให้เลือกไม่มากนัก และยังถือว่าน้อยกว้าคู่แข่ง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคหันไปทดลองสินค้าอื่นที่มีความแปลกใหม่ได้ง่าย-เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
- ความสามารถในการขยายผลิตภัณฑ์มีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับ line สินค้าเดิมเป็นเรื่องที่ยาก และอาจทำให้ภาพ ความ Classic อ่อนลง
Oppornity - ตลาดยังเปิดกว้างสำหรับเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์
- การสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
- ลักษณะของสินค้า เนื่องจากตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องดื่มโคล่านั้นมีจุดต่างจากเครื่องดื่มอื่นซึ่ง ผู้บริโภคเชื่อว่าดื่มแล้วช่วยสร้างความสดชื่นซึ่งเป็นเสมือนจุดขายของสินค้านี้
- เทคโนโลยี ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งในอนาคตข้างหน้าเทคโนโลยีย่อมพัฒนาขึ้นอย่างมากช่วยในด้านการผลิต การโฆษณาช่วยให้ผู้บริโภครู้จักได้มากขึ้น การกระจายสินค้า เป็นต้น
- การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคมีมากขึ้นเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค ซึ่งก็เนื่องมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้วย
Treat
- มีสินค้าตัวแทน เนื่องจากตลาดเครื่องดื่มนี้มีการขยายออกอย่างแพร่หลายทำให้ผู้บริโภคมี
ทางเลือกมากขึ้นกว่าในอดีต
- ราคาของวัตถุดิบผันผวน เช่น ราคาน้ำตาลที่สูงขึ้นย่อมทำให้ส่งผลต่อราคาต่อหน่วยของสินค้าด้วย
หากราคาสูงขึ้น ความต้องการย่อมลดลง-เป็บซี่ใช้กลยุทธ์ In&Out คือ การสร้างโปรดักต์ ใหม่ๆ บนฐานของน้ำดำ เพื่อสร้างสีสันให้ตลาดมีทั้งเป๊ปซี่แม็กซ์, เป๊ปซี่ทวิสต์, เป๊ปซี่บลู, เป๊ปซี่ไฟร์, เป๊ปซี่ไอซ์ และเป๊ปซี่ลาเต้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดทางเลือกที่มากขึ้นและมีความรู้สึกถึงความแปลกใหม่และอาจให้ความสนใจ และทดลองบริโภค จนอาจเกิดการ Switching Brand ได้
- ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน เมื่อเศรษฐกิจแย่ลงย่อมมีผลต่อการบริโภคของประชาชนซึ่งจะบริโภคอย่างจำกัดมากขึ้น
- การแข่งขันที่รุนแรง ทั้งตลาดเดิมและเครื่องดื่มใหม่ๆที่พยายามเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้การจะครองส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากนั้นยากขึ้น
- ค่านิยมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง คือให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพมากขึ้นทำให้ผู้บริโภคลดการบริโภคเครื่องดื่มโคล่าลง เนื่องจากไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และให้ความสนใจกับสินค้าที่ให้ผลดีกับสุขภาพมากขึ้น
- การแพร่ของข่าวความผิดพลาดในการผลิต ทำให้เกิดความเสียหายกับตราสินค้า ผุ้บริโภคอาจม่ายเชื่อถือและเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคได้
- จากผลสำรวจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชื่นชอบรสชาติของเป๊ปซี่มากกว่า
4P Analysis
Product
CocaCola มีการพัฒนาสินค้าของตัวเองมาโดยตลอด เริ่มจากการที่ส่วนแบ่งการตลาดลดลงอันเนื่องมาจากการเริ่มเข้ามาทำตลาดของ Pepsi และเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 CocaCola มองว่าตลาดน้ำดำอาจถึงจุดอิ่มตัว จึงสรรหาวิธีต่างๆมาแก้ปัญหาโดย 1 ในนั้นคือการแตก Product Line ทำให้เกิด CocaCola รสชาติใหม่ๆขึ้นมาเพื่อให้เกิดจุดสนใจ และสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆขึ้นไปได้ รวมไปถึงการพัฒนา Package ออกไปจากแบบ ฝาจีบ ไปแบบ กระป๋อง และแบบฝาเกลียวเพื่ออรรถประโยชน์ที่แตกต่างรวมไปถึงความสะดวกในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป้นการสร้างความแปลกใหม่ สะดวกต่อการขนส่งและเก็บรักษา รวมไปถึงการมีรูปแบบสินค้าที่มากขึ้นก็เป็นการเปิดช่องทางให้ผลิตได้มากขึ้นกว่าเดิมซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนทางอ้อม
Price
CocaCola ประสบปัญหาอเมริกาเศรษฐกิจฝืดเคืองจากยุคสมัยสงครามโลกทำให้ต้องดิ้นรนและเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเองซึ่งข้อสรุปที่ออกมาคือการสร้างภาพว่าเป็นของฟุ่มเฟือยที่มีกำลังซื้อ จาก Print Ad. ที่นำซานตาครอสมาใช้เป็นครั้งแรกเพื่อรักษายอดขายและเก็บรักษาภาพพจน์ของ Brand ที่มีความหรูหรา เอาไว้ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันที่ CocaCola Brand ยังคงสามารถรักษาภาพพจน์ที่ดูดีและหรูหราเอาไว้พร้อมๆกับราคาที่ไม่ทำร้ายจิตใจผู้บริโภคมากนัก
Place
Cocala มีลักษณะการวางแผนธุรกิจโดยการโยนภาระขั้นตอนการบรรจุขวดและการจัดจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการรายอื่นในลักษณะการขาย Franchise ขอบเขตที่ดูแลจริงๆมีเพียงการวางแผนธุรกิจและการผลิตหัวเชื้อด้วยสูตรลับเพื่อส่งต่อไปยัง Bottler ที่ต่างๆดังนั้นการตกลงธุรกรรมกับ Distributor และการวางแผนต่างๆโดยส่วนใหญ่จึงเป็นหน้าที่ของทั้ง CocaCola เช่นการตกลงกับ Whole Seller ที่เป้นระดับสากลอย่าง Careful หรือ โลตัส, การตกลงสัญญากับ Distributor ต่างๆที่สามารถมีผลประโยชน์ร่วมกันได้อย่าง Mcdonald หรือ Burger King ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อการสร้างการรับรู้และเกิดช่องทางจำหน่ายอันมากมายที่จะนำไปสู่ผู้บริโภคประกอบกับการเป็นสินค้าประเภท Daily Goods ที่มีราคาไม่แพง และภาพลักษณ์ของ Brand ที่สร้างมาอย่างดีก็ช่วยเสริมความสะดวกในการติดต่อและจำหน่ายสินค้าของตัวเองไปยัง Distributor รายย่อยตามซอกมุมต่างๆทั่วโลก
Promotion
เพื่อเป็นการรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่และเพิ่มให้มากขึ้นไปอีกการสร้างแผนส่งเสริมการขายจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการชักจูงความสนใจจากผู้บริโภคอยู่สม่ำเสมอ CocaCola จึงมีการออก Promotion ต่างๆที่เป็นการตั้งเป้าทั้งต่อผู้ Consumer และ Trader อย่างสม่ำเสมอ
Source : http://coke-world.exteen.com/20080805/entry-3
น้ำอัดลมประเภท Cola ได้ถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกขึ้นในปี 1886 เริ่มโดยนักเภสัชศาสตร์ได้ทำการขายเครื่องดื่มโซดาแบบแก้วในร้านขายยา และสูตรเครื่องดื่มนี้ได้เป็นที่นิยม และเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้ชื่อ Coke จนกระทั่ง Coke ได้มีการขายแฟรนไชส์ โดยที่ Coke นั้นได้พยายามที่จะทำให้สินค้ามีอยู่ในทุกที่ ลูกค้าสามารถหาซื้อได้ตามสะดวก รวมทั้ง Coke ก็ได้มีการปรับตัวไปตามสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
ในตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษที่ 1990 ตลาด Cola ยังครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 คือ 60% - 70% นอกเหนือจาก น้ำมะนาว รูทเบียร์ น้ำส้ม และอื่น ๆ ส่วนประกอบของผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม จะประกอบด้วย 4 ส่วนหลักได้แก่
1. ผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำหวาน เป็นผู้ทำหน้าที่นำวัตถุดิบมาผสมกัน (ยกเว้นสารให้ความหวาน) และส่งไปยังผู้บรรจุขวด การลงทุนในสินทรัพย์ของผู้ผลิตไม่มากนัก แต่จะต้องลงทุนสูงในเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การวางแผนการผลิต การทำวิจัยทางการตลาด กิจกรรมทางการตลาดกับผู้บริโภค การทำเครื่องหมายการค้า รวมถึงการพัฒนาความสามารถของผู้บรรจุขวด
2. ผู้บรรจุขวด จะมีสัญญากับทางผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำหวานในการทำการเติมสารให้ความหวานและบรรจุขวด พร้อมทั้งส่งไปยังร้านจำหน่าย เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงดูแลการจัดวางสินค้า การโฆษณา ณ จุดขาย การจัด Layout ในการลงทุนของผู้บรรจุขวด ส่วนใหญ่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเครื่องจักรมากที่สุด ในเริ่มแรกการทำสัญญากันระหว่างผู้ปลิตหัวเชื้อน้ำหวานและผู้บรรจุขวดจะทำในลักษณะแฟรนไชน์
3. ร้านค้า ในปี 2000 ช่องทางการจัดจำหน่ายของน้ำอัดลมในสหรัฐอเมริกาจะผ่านทางร้านอาหาร 35% ผ่านทางที่จำหน่ายน้ำอัดลมแบบกด (Fountain Outlet) 23% ตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ 14% ร้านสะดวกซื้อ 9% และอื่นๆ อีก 20% ได้แก่ ร้านที่เป็นแบบคลังสินค้าแบบสมาชิกร้านขายยา ต้นทุนมีผลมากจากวิธีการและความถี่ในการส่ง
4. ผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบให้กับหัวเชื้อน้ำหวานและผู้บรรจุขวด วัตถุดิบที่จำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำหวาน ได้แก่ สีคาราเมล กรดฟอสฟอริก กรดผลไม้ สารปรุงรสจากธรรมชาติ และคาเฟอีน ส่วนวัตถุดิบที่จำหน่ายให้แก่ผู้บรรจุขวด ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ ประเภท กระป๋อง ขวดพลาสติก ขวดแก้ว และสารให้ความหวาน ประเภทน้ำตาล และฟรุคโตส
Cola Wars Heat Up
ในปี 1980 โค้กได้เปลี่ยนจากการใช้น้ำตาลอ้อยมาเป็นน้ำตาลฟรุคโตส ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลในราคาที่ต่ำ โค้กได้มีความพยายามทำการตลาดให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นโดยการทุ่มเงินลงทุนในโฆษณาจำนวนสูง และโค้กก็ได้พยายามขยายกิจการไปยังตลาดเครื่องดื่ม non - CSD และต่อมา โค้กก็ได้ขยายแบรนด์ด้วยการออก "Coke Diet" ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสูตรของโค้กกลับไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีจากตลาด ทำให้โค้กต้องกลับมาใช้สูตรเครื่องดื่มเดิมเป็นผลิตภัณฑ์หลัก
Bottler consolidation and spin-off
โค้กเริ่มซื้อกิจการ Bottler มาเป็นของตนเอง และได้ก่อตั้ง Coca Cola Enterprises (CCE) ซึ่งเป็นบริษัท Bottler ที่อยู่ในเครือของ โค้ก เอง ซึ่งการทำแบบนี้เป็นผลดีเพราะสามารถบริการจัดการด้าน Bottler และผลิตสินค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เมื่อมาถึงช่วงปี 2000 นั้น ยอดขายได้ลดลง นั่นทำให้การลงทุนใน Bottler กลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่า เพราะลงทุนสูง แต่กำไรน้อยลง
Internationalizing the cola war
Coke มองตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อการเติบโต ปี1991-2000 ได้บุกตลาด จีน อินเดียยุโรปตะวันตกแต่ตลาดต่างประเทศเหล่านี้ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐ ซึ่ง coke มีสัดส่วนทางยุโรปตะวันตก ละตินอเมริกา และ โค้กยังได้ชื่อที่เป็นสากลสำหรับวัฒนธรรมของชาวอเมริกันซึ่ง Concentrate producer ของทั้งโค้กได้ประสบอุปสรรคมากมายในตลาดต่างประเทศทั้งวัฒนธรรมต่างๆ การเมือง กฏระเบียบ การควบคุมราคา การโฆษณา อัตราแลกเปลี่ยน และโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่ง Coke ได้ริเริ่มแนวกลยุทธ์ต่างๆเพื่อการเข้าถึง แต่ในปลายทศวรรษ 90 นั้นตลาดต่างประเทศก็มียอดขายตกต่ำลงเช่นเดียวกับในสหรัฐฯ ซึ่งก็ทำให้กำไรลดต่ำลง แต่โค้กได้รับผลกระทบมากเพราะมีสัดส่วนตลาดต่างประเทศมากกว่า
กลยุทธ์ที่ใช้ในปัจจุบัน
1. "Coke" ได้ทำการวางน้ำอัดลมบริเวณด้านหน้าซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อดึงดูดลูกค้าและให้เทางซุเปอร์มาเก็ตบริหารการขนส่งสินค้าไปที่หน้าร้านรวมถึงปริมาณการเก็บสินค้า
2. "Coke" ให้ส่วนลดกลับไปยังผู้ซื้อเช่นร้านเฟรนไชน์ของ Burger King เชื่อว่าได้จ่ายค่าหัวเชื้อน้ำหวานให้กับ "Coke" ในราคาโดยประมาณคือ 6.2 เหรียญฯต่อแกลลอน แต่ตอนสิ้นปีก็ได้รับส่วนลด (rebate) อย่างมากเป็นเช็คเงินสด อย่างเช่นร้าน Burger King สาขาในภาคกลางของฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯแห่งหนึ่งกล่าวว่าได้รับส่วนลดประจำปีถึง 1.45 เหรียญฯ ต่อแกลลอนหรือประมาณ 23%.
3. การลงทุนทางด้านโฆษณารวมทั้งอุปกรณ์ส่งเสริมการขายของน้ำอัดลม ณ.จุดขาย
4. "Coke" หาลูกค้ากลุ่มอื่นๆ โดยใช้ช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ เช่น ร้าน McDonald's และ Burger King
5. "Coke" บริหารจัดการลูกค้าเครื่องกดน้ำโดยใช้ เฟรนไชน์ระดับชาติของตัวเอง ผู้ซื้อเฟรนไชน์จะทำการต่อรองและทำข้อตกลงในเรื่องสิทธิขายน้ำจากเครื่องกดซึ่งในบางกรณีกับร้านเครือข่ายขนาดใหญ่
7. "Coke" ใช้การจูงใจโดยให้ส่วนลดแก่บริษัทบรรจุขวดเพื่อให้บริษัทเหล่านี้ทำการติดตั้งตู้จ่ายน้ำอัตโนมัติ เจ้าของพื้นที่ที่ให้ทำการวางตู้จ่ายน้ำอัตโนมัติปกติก็จะได้รับค่าคอมฯ
8. "Coke" ใช้กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับบริษัทขายส่งวัตถุดิบของบริษัทที่มีกับบริษัทผลิตกระป๋อง "Coke" ช่วยบริษัทบรรจุขวดในการต่อรองกับบริษัทผลิตกระป๋อง เนื่องจากต้นทุนของกระป๋องมีมูลค่าประมาณ 40% ของต้นทุนทั้งหมดของสินค้าบรรจุภัณฑ์ บริษัทบรรจุขวดและบริษัทผลิตหัวเชื้อน้ำหวานจะรักษาความสัมพันธ์กับบริษัทขายส่งวัตถุดิบนี้มากกว่าหนึ่งเจ้า
SWOT Analysis
- Coke เป็นผู้ที่เข้ามาเปิดตลาดเป็นรายแรกทำเป็นที่สนใจและดึงดูดใจของผู้บริโภคซึ่งสร้างความรู้สึกให้กับตัว ผลิตภัณฑ์ว่า เป็น ของแท้
- เป็น Global Brand ที่สั่งสมความน่าเชื่อถือมายาวนาน
-มี Positioning ที่ชัดเจนทำให้ผู้บริโภคจดจำ Brand ได้อย่างแม่นยำ ไม่สับสนกับ Brand อื่น
-เป็น Brand ที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งเกิดจากการรับรู้ของผู้บริโภค ทำให้คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบ และทำการแข่งขันได้อยาก
- เป็นผู้นำทางการตลาดมีสัดส่วนในการครองตลาดน้ำดื่ม CSD สูง ( Market share leadership)
- Brand Perception มียี่ห้อที่เป็นที่จดจำและอยู่ในใจของผู้บริโภคย่อมแสดงถึงความสามารถในการ
เข้าถึงลูกค้าได้เป็นอย่างดี รวมทั้งการมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
- การที่ Coke เข้ามาในระยะเวลาที่ยาวนานและสามารถครองตลาดได้เป็นอย่างดีและต่อเนื่องนั้นทำ
ให้ Coke สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจได้ดี ส่งผลให้มีอำนาจในการต่อรองกับคู่ค้าและธุรกิจที่
เกี่ยวข้องได้มาก
- Coke เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เนื่องจากการเปิดตลาดออกไปอย่างแพร่หลาย
- มีการตลาดที่ดี เช่น การทำ promotion ในช่วงเวลาต่างๆอย่างเหมาะสม การวางแผนการตลาดด้าน
ต่างๆรวมถึง Advertisement ด้วย
- เป็นผู้นำตลาดทางด้าน fountain market เนื่องจาก Coke เริ่มบุกตลาดทางด้านนี้ก่อน brand อื่นๆ
เช่น ในปี 2000 Coke มีสัดส่วนตลาดนี้ถึง 65%
- เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีฐานการผลิตกว้างขวาง ครอบคลุมทั่วโลก
- เป็น Brand ที่ผู้บริโภคมี Loyalty สูง เนื่องจากไม่เพียงแต่ทำให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ของตนเองเท่านั้นยังสามารถทำให้ผู้บริโภคมีความรักกับ Brand ได้อีกด้วย
-โค้กใช้ กลยุทธ์ Emotional Marketing และ Lifestyle "มีทัศนคติด้านบวกและมองโลกในแง่ดี" หรือ "ดื่มโค้กแล้วทำให้มีความสุข" จาก แคมเปญ Coke Slide of Life เป็นแคมเปญ ที่เน้นกันที่ Emotional ล้วนๆ เพื่อต้องการสร้างความรู้สึกขึ้นในใจของให้ผู้บริโภค และใช้อารมณ์ความรู้สึกในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีความสร้างสรรค์และตรงใจผุ้บริโภคเป็นอย่างมาก
Weakness
- การที่ Coke จะเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นั้นย่อมเป็นไปได้ยาก เนื่องจาก Coke เป็นที่รู้จักของ ผู้บริโภคในด้านน้ำดื่มโคล่า ซึ่งการที่จะขยายไปในด้านอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่ผู้บริโภคจะให้ความสนใจและเชื่อถือ ซึ่งถ้าขยายความกว้างของผลิตภัณฑ์มากไปจะทำให้สินค้าโคล่านี้อ่อนกำลังไปด้วย-มีความเป็นนักอนุรักษ์(Conservative ทำให้การปรับตัวของบริษัทไม่ทันกับคู่แข่งรายอื่นๆ- มีสายการผลิตที่กว้างมากจนยากที่จะควบคุมการผลิต- โค้กมักถูกมองว่าไม่มี Innovation จะเห็นได้จาก Line สินค้าที่มีให้เลือกไม่มากนัก และยังถือว่าน้อยกว้าคู่แข่ง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคหันไปทดลองสินค้าอื่นที่มีความแปลกใหม่ได้ง่าย-เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
- ความสามารถในการขยายผลิตภัณฑ์มีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับ line สินค้าเดิมเป็นเรื่องที่ยาก และอาจทำให้ภาพ ความ Classic อ่อนลง
Oppornity - ตลาดยังเปิดกว้างสำหรับเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์
- การสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
- ลักษณะของสินค้า เนื่องจากตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องดื่มโคล่านั้นมีจุดต่างจากเครื่องดื่มอื่นซึ่ง ผู้บริโภคเชื่อว่าดื่มแล้วช่วยสร้างความสดชื่นซึ่งเป็นเสมือนจุดขายของสินค้านี้
- เทคโนโลยี ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งในอนาคตข้างหน้าเทคโนโลยีย่อมพัฒนาขึ้นอย่างมากช่วยในด้านการผลิต การโฆษณาช่วยให้ผู้บริโภครู้จักได้มากขึ้น การกระจายสินค้า เป็นต้น
- การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคมีมากขึ้นเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค ซึ่งก็เนื่องมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้วย
Treat
- มีสินค้าตัวแทน เนื่องจากตลาดเครื่องดื่มนี้มีการขยายออกอย่างแพร่หลายทำให้ผู้บริโภคมี
ทางเลือกมากขึ้นกว่าในอดีต
- ราคาของวัตถุดิบผันผวน เช่น ราคาน้ำตาลที่สูงขึ้นย่อมทำให้ส่งผลต่อราคาต่อหน่วยของสินค้าด้วย
หากราคาสูงขึ้น ความต้องการย่อมลดลง-เป็บซี่ใช้กลยุทธ์ In&Out คือ การสร้างโปรดักต์ ใหม่ๆ บนฐานของน้ำดำ เพื่อสร้างสีสันให้ตลาดมีทั้งเป๊ปซี่แม็กซ์, เป๊ปซี่ทวิสต์, เป๊ปซี่บลู, เป๊ปซี่ไฟร์, เป๊ปซี่ไอซ์ และเป๊ปซี่ลาเต้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดทางเลือกที่มากขึ้นและมีความรู้สึกถึงความแปลกใหม่และอาจให้ความสนใจ และทดลองบริโภค จนอาจเกิดการ Switching Brand ได้
- ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน เมื่อเศรษฐกิจแย่ลงย่อมมีผลต่อการบริโภคของประชาชนซึ่งจะบริโภคอย่างจำกัดมากขึ้น
- การแข่งขันที่รุนแรง ทั้งตลาดเดิมและเครื่องดื่มใหม่ๆที่พยายามเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้การจะครองส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากนั้นยากขึ้น
- ค่านิยมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง คือให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพมากขึ้นทำให้ผู้บริโภคลดการบริโภคเครื่องดื่มโคล่าลง เนื่องจากไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และให้ความสนใจกับสินค้าที่ให้ผลดีกับสุขภาพมากขึ้น
- การแพร่ของข่าวความผิดพลาดในการผลิต ทำให้เกิดความเสียหายกับตราสินค้า ผุ้บริโภคอาจม่ายเชื่อถือและเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคได้
- จากผลสำรวจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชื่นชอบรสชาติของเป๊ปซี่มากกว่า
4P Analysis
Product
CocaCola มีการพัฒนาสินค้าของตัวเองมาโดยตลอด เริ่มจากการที่ส่วนแบ่งการตลาดลดลงอันเนื่องมาจากการเริ่มเข้ามาทำตลาดของ Pepsi และเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 CocaCola มองว่าตลาดน้ำดำอาจถึงจุดอิ่มตัว จึงสรรหาวิธีต่างๆมาแก้ปัญหาโดย 1 ในนั้นคือการแตก Product Line ทำให้เกิด CocaCola รสชาติใหม่ๆขึ้นมาเพื่อให้เกิดจุดสนใจ และสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆขึ้นไปได้ รวมไปถึงการพัฒนา Package ออกไปจากแบบ ฝาจีบ ไปแบบ กระป๋อง และแบบฝาเกลียวเพื่ออรรถประโยชน์ที่แตกต่างรวมไปถึงความสะดวกในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป้นการสร้างความแปลกใหม่ สะดวกต่อการขนส่งและเก็บรักษา รวมไปถึงการมีรูปแบบสินค้าที่มากขึ้นก็เป็นการเปิดช่องทางให้ผลิตได้มากขึ้นกว่าเดิมซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนทางอ้อม
Price
CocaCola ประสบปัญหาอเมริกาเศรษฐกิจฝืดเคืองจากยุคสมัยสงครามโลกทำให้ต้องดิ้นรนและเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเองซึ่งข้อสรุปที่ออกมาคือการสร้างภาพว่าเป็นของฟุ่มเฟือยที่มีกำลังซื้อ จาก Print Ad. ที่นำซานตาครอสมาใช้เป็นครั้งแรกเพื่อรักษายอดขายและเก็บรักษาภาพพจน์ของ Brand ที่มีความหรูหรา เอาไว้ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันที่ CocaCola Brand ยังคงสามารถรักษาภาพพจน์ที่ดูดีและหรูหราเอาไว้พร้อมๆกับราคาที่ไม่ทำร้ายจิตใจผู้บริโภคมากนัก
Place
Cocala มีลักษณะการวางแผนธุรกิจโดยการโยนภาระขั้นตอนการบรรจุขวดและการจัดจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการรายอื่นในลักษณะการขาย Franchise ขอบเขตที่ดูแลจริงๆมีเพียงการวางแผนธุรกิจและการผลิตหัวเชื้อด้วยสูตรลับเพื่อส่งต่อไปยัง Bottler ที่ต่างๆดังนั้นการตกลงธุรกรรมกับ Distributor และการวางแผนต่างๆโดยส่วนใหญ่จึงเป็นหน้าที่ของทั้ง CocaCola เช่นการตกลงกับ Whole Seller ที่เป้นระดับสากลอย่าง Careful หรือ โลตัส, การตกลงสัญญากับ Distributor ต่างๆที่สามารถมีผลประโยชน์ร่วมกันได้อย่าง Mcdonald หรือ Burger King ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อการสร้างการรับรู้และเกิดช่องทางจำหน่ายอันมากมายที่จะนำไปสู่ผู้บริโภคประกอบกับการเป็นสินค้าประเภท Daily Goods ที่มีราคาไม่แพง และภาพลักษณ์ของ Brand ที่สร้างมาอย่างดีก็ช่วยเสริมความสะดวกในการติดต่อและจำหน่ายสินค้าของตัวเองไปยัง Distributor รายย่อยตามซอกมุมต่างๆทั่วโลก
Promotion
เพื่อเป็นการรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่และเพิ่มให้มากขึ้นไปอีกการสร้างแผนส่งเสริมการขายจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการชักจูงความสนใจจากผู้บริโภคอยู่สม่ำเสมอ CocaCola จึงมีการออก Promotion ต่างๆที่เป็นการตั้งเป้าทั้งต่อผู้ Consumer และ Trader อย่างสม่ำเสมอ
Source : http://coke-world.exteen.com/20080805/entry-3
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)